Sunday, August 14, 2016

มาวางแผนการเงินตัวเองกันเถอะ


สวัสดีข่า ดิฉันมารายงานตัวว่ายังคงมีชีวิตอยู่นาคะ ^^

เช่นเคยค่ะ  ก่อนอื่นก็ Disclaimer กันก่อนเลย ... ไม่ใช่กูรู  ไม่ใช่คนเก่ง  เพียงแต่เป็นคนที่ได้ไปเรียนรู้ หาข้อมูลอะไรที่น่าสนใจมา ก็จะมาเล่าให้ฟังนะคะ ^^

แล้ววันนี้สิ่งที่หงีอยากจะเล่าให้ฟัง คือเรื่อง “การวางแผนการเงินส่วนบุคคล”

โอ๊ววววว ... เรื่องอะไรเนี่ยนังหงี!!! ฟังดูเครียด ซีเรียสยิ่งนัก ... สายกลางมั้ย?  ตึงไปป่าว?

หึ ... no no no เลยค่ะ ... ถ้าคุณคิดว่า การอาบน้ำชำระล้างร่ายกายให้สะอาด และการเก็บกวาดบ้านให้เรียบร้อย เป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องทำฉันใด ... การวางแผนการเงินส่วนบุคคล ( แน่นอน ... ของตัวคุณเองนั่นหละ ) ก็สำคัญฉันนั้นค่ะ

ลองคิดดูนะคะ ... ถ้าคุณไม่อาบน้ำ  ไม่กี่วันคงไม่เป็นไรค่ะ (ถ้าคุณอยู่เมืองหนาว ... หึ)  แต่ถ้าซัก 2 อาทิตย์ล่ะ?  เป็นไง?  สกปรกเนาะ  โรคผิวหนังคงพาลถามหา กลากเกลื้อนเชื้อราบนหนังศรีษะคงจะมาเยือน ... ฉันใด ก็ฉันนั้นเลย ... ถ้าคุณคิดว่า  คุณสามารถใช้ชีวิตอยู่แบบนั้นได้ .. โอเค เชิญค่ะ  ข้ามโพสต์นี้ไปเถอะ

จริงๆต้องบอกเลยว่า การเอาเรื่องการวางแผนการเงินส่วนบุคคล มาเปรียบเทียบกับการรักษาความสะอาดของร่างกายและที่อยู่อาศัยนั้น นับว่าเป็นการเปรียบเทียบที่เบามาก เพราะการละเลยที่จะทำมัน  Downside ที่เกิดมันหนักหนากว่าแค่เป็นโรคผิวหนังกับบ้านเรือนสกปรกมากนักค่ะ

เอาล่ะค่ะ ... คำว่า “การวางแผนการเงินส่วนบุคคล” นั้น ฟังดู Scary ... แต่หงีขอบอกนะคะว่า  มันไม่เสียเวลาเลย ถ้าคุณจะจริงจังกับมันเสียตั้งแต่วันนี้

หงีจะขอเล่าเรื่องนึงให้ฟังค่ะ ... หงีมีเพื่อนคนนึง  ที่บ้านฐานะเรียกว่า ค่อนข้างร่ำรวยเลยค่ะ ... มีบ้านหลังใหญ่  คุณพ่อคุณแม่มีกิจการส่งออก  ขับรถยุโรป และมีไลฟ์สไตล์แบบคนค่อนข้างรวยเค้ามีกัน ... ชีวิตดำเนินไปค่ะ ทุกอย่างดูปกติสุขดี ... จนอยู่มาวันหนึ่ง ... ธุรกิจที่บ้านก็เริ่มมีปัญหา และในที่สุดต้องปิดกิจการลงไป

โชคยังเข้าข้างค่ะ ... คุณพ่อคุณแม่เก็บเงินไว้เยอะ .. สมัยนั้น นั่งนอนๆกินดอกเบี้ยจากธนาคารก็พอดำเนินชีวิตต่อไปได้  โดยไลฟ์สไตล์ปรับลงมาจาก คนค่อนข้างรวย เป็น คนฐานะปานกลาง ธรรมดา ... ฟังดูไม่แย่ใช่ไหมคะ?

ค่ะ ... จุดเปลี่ยนที่สำคัญอยู่ตรงนี้ ... วันที่ทุกอย่างเปลี่ยนไปตลอดกาล คือ วันที่เค้าพบว่า คุณพ่อของเค้าป่วยเป็น “โรคมะเร็ง” ... หงีเชื่อว่า ทุกคนทราบดีว่า  ค่ารักษาสำหรับโรคมะเร็ง มันมากมายแค่ไหน ... ว่ากันหลักล้าน หลักสิบล้านกันนู่นน่ะค่ะ

ใช่ค่ะ ... จากครอบครัวค่อนข้างรวย คิดว่าจะเหลือสมบัติไว้ไปจนถึงลูกหลาน ... สุดท้ายแล้ว ก็ไม่เหลืออะไรส่งต่อ ... แต่ก็ยังดีที่ตอนกิจการดี มีเงินสะสมมากพอที่จะมาจ่ายค่ารักษาพยาบาลคุณพ่อ และเหลือเงินไว้ให้ลูกๆได้เรียนกันจนจบปริญญาตรี

คุณเห็นอะไรจากเรื่องนี้คะ?  หงีเห็นหลายอย่างเชียวค่ะ ... ลองย้อนคิดนะ ... ตัดภาพกลับมาที่เรา ... ถ้าเราไม่ได้มีกิจการอย่างเค้า?  ไม่ได้มีเงินเก็บมากอย่างเค้า?  แล้วเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นกับเรา ... คุณพ่อเราเป็นมะเร็ง ... เราจะเอาเงินที่ไหนรักษาเค้า? ... แล้วถ้าเราเป็นคุณแม่ .. ถ้าลูกๆยังเล็กอยู่ ... มันจะเกิดเหตุการณ์ต้องตัดสินใจอย่างหนักหน่วงทันที คือ ต้องเลือกแล้ว ระหว่างรักษาชีวิตสามีให้ถึงที่สุด กับ เก็บเงินไว้ให้มากที่สุดเพื่อการศึกษาลูก

หงีไม่อยากเห็นเรื่องราวแบบนี้ ... ต้องเกิดขึ้นกับตัวเอง  หรือไม่ว่ากับใครก็ตาม ... นี่ยังไม่นับรวมตัวอย่างโหดๆที่เราเห็นกันทุกเมื่อเชื่อวันอย่าง “วงเวียนชีวิต” ... คุณตา คุณยาย อายุ 60 – 70 ทำงานไม่ไหว  ลูกเต้าไม่เหลียวแล  มีคุณภาพชีวิตที่แย่มาก  หลายครั้งต้องอดมื้อกินมื้อ ... เราอยากเป็นแบบนั้นไหม?  หงีคนนึงล่ะ ที่ไม่ ... และจะทำทุกทางเท่าที่ทำได้ ให้คนในครอบครัว และคนใกล้ตัวทุกๆคน จะไม่ต้องมีชีวิตแบบนั้น
ดังนั้น ... หงีคิดว่า คงเข้าใจแล้วนะคะว่า “การวางแผนการเงินส่วนบุคคล” นั้นสำคัญอย่างไร?

อ่ะเลิกเครียด ... กลับมาเรื่องสนุกสนานของเรา

ก่อนอื่น ... มาทำความเข้าใจกันก่อนเลยค่ะ ... ถ้าจะว่าด้วย “การเงินของเรา” แล้ว หลักๆ  ก็จะเริ่มจาก หามา èใช้ไป  เหลือก็  เก็บออม และ ลงทุน

1.     หามา

2.     ใช้ไป

3.     ออม ( รักษาเงินไว้ )

4.     ลงทุน (ทำให้เงินงอก)

หลักง่ายๆที่ใครๆก็ทราบคือ  ใช้  ให้น้อยกว่า หา ... คุณมาถูกทางแล้วค่ะ

แต่คำถามสำคัญคือ  ต้องหาเท่าไหร่?  และ ควรจะใช้เท่าไหร่?

แต่ละคนมีคำตอบของทั้ง 2 ข้อนั้น ไม่เท่ากันค่ะ  ขึ้นอยู่กับ “ความจำเป็น” และ “ข้อจำกัด” ของแต่ละบุคคล  เช่น  ง่ายๆเลยถ้าหงีตัวคนเดียวโดดๆ ไม่มีภาระต้องดูแลพ่อแม่ญาติพี่น้อง หรือ ลูก ... หงีมี “ความจำเป็น” ในการ “หา” และ การ “ใช้” เงิน ไม่เท่ากับ คนที่มีภาระต้องดูแลพ่อแม่ญาติพี่น้อง แน่นอน

อย่างไรก็ตามค่ะ .. ในความเป็นจริงแล้ว .. เราทุกคนมี “พ่อแม่” อย่างน้อยๆ คุณมีคนต้องดูแลแน่นอน ... ซึ่ง ความจำเป็น แบบนี้แหละ ที่จะมาเป็นโจทย์หลักสำคัญในการ “ตั้งเป้าหมาย” ของคุณ ... ในโลกนี้ มันไม่มีอะไรแน่นอนนะคะ .. การที่คุณทำงานหาเงินได้วันนี้ ใช่ว่า จะเป็นอย่างนี้เสมอไป ... เกิดวันนึงมีอุบัติเหติเกิดขึ้นกับคุณทำให้คุณไม่สามารถทำงานได้  หรือ คุณตกงานขึ้นมา ... แล้วคุณจะอยู่อย่างไร  ถ้าไม่มี “เงินเก็บ” .. นี่ยังไม่นับรวมว่า ถ้าคุณต้องดูแล “พ่อแม่” ด้วยนะคะ

นี่แหละค่ะ .. ก็เป็นที่มาของความสำคัญของ “การรักษาเงิน” ... ที่หงีใช้คำนี้  เพราะมันไม่ใช่แค่ “การออม”  แต่มันยังรวมถึง “การป้องกันความเสี่ยง” ไม่ให้ “เงินออม” หรือ เงินที่คุณหามานั้น หมดไปกับเรื่องไม่คาดฝัน ... ใช่ค่ะ  หงีกำลังพูดถึง “ประกัน”

ในสมัยก่อน .. “ประกัน” เป็นอะไรที่ถูกเข้าใจผิด และถูกต่อต้านมาก .. แต่หงีเชื่อว่า ปัจจุบัน คนรุ่นใหม่อย่างเราควรจะ “เป็นมิตร” กับประกันได้แล้วนะคะ

เมื่อมีเงินเหลือ ( หามา ใช้ไป )  คุณควรพิจารณานำมันไป

1.     เก็บออมไว้  เพื่อใช้ยามฉุกเฉิน หรือ เพื่อเป้าหมายบางอย่างในอนาคต

2.     ทำประกัน  เพื่อ “ปกป้องเงินออมของคุณไว้”  .. เหมือนตัวอย่างที่หงียกไว้ในตอนต้นนั่นหละค่ะ  แทนที่เงินออมที่ตั้งใจจะไว้ให้ลูกเรียน ไว้ตั้งต้นธุรกิจใหม่  เหลือไว้ให้ลูกให้หลาน ... ก็ต้องมาหมดไปเพราะโรคภัยไข้เจ็บ ... แบ่งไปซื้อไว้บ้างเถอะค่ะ  ประกันสุขภาพ น่ะ ( ในคราวหลัง หงีจะมาเล่าเรื่อง “ประกันสะสมทรัพย์” ซึ่งหงีคิดว่าก็จำเป็นด้วยเหมือนกันนะคะ) ... ตรงนี้  ถ้าคุณเป็นพนักงานออฟฟิศ  คุณมีประกันที่บริษัททำให้ ... ยังไง ไปขอรบกวนดูสิทธิประโยชน์จาก HR หน่อยนะคะ ว่า ครอบคลุมเรื่องอะไรบ้าง ... ถ้ายังไม่ได้ครอบคลุมเรื่อง อุบัติเหตุร้ายแรง และ โรคร้าย ... กรุณาเลยค่ะ ทำเพิ่มเถอะนะคะ  เดี๋ยวนี้มันไม่ได้แพงแล้ว .. และหงีบอกเลย มันคุ้มค่ะ .. มะเร็ง ไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไปแล้ว

มาถึงเงินส่วนสุดท้าย .. ที่ Advance กว่า “เงินออม” นั่นคือ “เงินลงทุน”
คือเอาจริงๆ ...คนรุ่นพ่อรุ่นแม่เรา  ส่วนมากท่านก็รู้จักแต่เงินออมเนี่ยแหละ ฝากแบงค์กินดอกเบี้ย ... แต่ในปัจจุบัน พวกเราได้รับการให้ข้อมูลมากขึ้นในเรื่องของ “เงินเฟ้อ” ทำให้เราเข้าใจว่า  ไอ้ข้าวกะเพราไก่ไข่ดาว จานละ 25 บาทเมื่อสมัยเรา 12 ขวบนั้น ปัจจุบัน ข้าวกะเพราไก่ไข่ดาว หน้าตาเหมือนกันเปี๊ยบ ป้าคนขายคนเดิมด้วย .. มันได้ถีบตัวเองขึ้นไปเป็นราคา 50 บาทแล้ว หรือขึ้นมา เท่าตัว ( 100%) เมื่อเวลาผ่านไป 20 ปี .. ซึ่งมันทำให้เรารู้ซึ้งเลยว่า  “เงินเฟ้อ” มันน่ากลัวอย่างไร ... คิดง่ายๆ  ถ้าคุณต้องการใช้ชีวิตใน “มาตรฐานชีวิต” เอาแค่ “เทียบเท่า” ปัจจุบันในอีก 20   ปีข้างหน้า .. นั่นหมายความว่า  ไม่ว่าปัจจุบันคุณจะใช้เงินต่อเดือนเท่าไหร่ ... คุณต้อง “เก็บเงิน” ไว้ เป็น 2 เท่าของจำนวนนั้น  เพื่อให้ในวันนั้นในอีก 20 ปีข้างหน้า คุณมีเงินใช้ในระดับมาตรฐานชีวิตเทียบเท่าวันนี้

คำว่า มาตรฐานชีวิต นั่นก็คือ วิถีชีวิตที่คุณใช้ๆอยู่ทุกวันเนี้ยะ  ... เช่น  กินข้าวมื้อละ 50 บาท 3 มื้อ  กินดีๆอาทิตย์ละครั้ง  ไปเที่ยวต่างจังหวัดบ้าง ต่างประเทศบ้าง  เป็นต้น ... ยิ่งคุณมี “มาตรฐานชีวิต” สูงเท่าไหร่ เช่น  ข้าวแต่ละมื้อที่คุณกินต้องเป็นร้านห้องแอร์ชื่อดังมื้อละไม่ต่ำกว่า 300 บาท  กินดีๆของคุณคือมื้อละ 10,000 บาท ต่างประเทศต้องไปอย่างบ่อย ... นั่นก็แปลว่า คุณก็ต้องหา และต้องใช้ รวมถึงต้องออม มากกว่าคนอื่นๆตามไปด้วย

อย่างไรก็ตามค่ะ ... ถ้าคุณรู้จัก “การลงทุน” ... มันก็จะช่วย แบ่งเบาภาระ “การออม” ทำให้คุณ ไม่ต้องออมมากเป็น 2 เท่า ก็ได้ ... เพราะถ้าหากคุณรู้จักเลือกแล้ว มันก็มีการลงทุนอยู่หลายประเภทค่ะ ที่ให้ผลตอบแทนชนะเงินเฟ้อได้  เช่น  หุ้นกู้,  หุ้น,  กองทุนรวม,  ทองคำ, อสังหาริมทรัพย์ เป็นต้น

ดังนั้น ... ถ้าคุณลองมองดูชีวิตของคุณให้ดี  .. ซึ่งหงีเชื่อว่า คนอ่านบทความของหงี น่าจะมีอายุ 30 up ( ถ้าต่อกว่านี้ ก็คงไม่เยอะหรอก หุหุหุ )  หงีว่า คุณเริ่มจริงจังกับชีวิตคุณได้แล้วนะคะ ... ในตอนอายุน้อยกว่านี้ หงีก็เป็นคนธรรมดาทั่วไปนี่แหละค่ะ  ที่พอใครพูดถึง “การวางแผนการเงิน” จะอุดหูทันที ( หึ ... ขนาดเรียนสายการเงิน ชอบการลงทุนนะ)  รู้สึกเป็นอะไรที่เครียด  ไกลตัว .. ไม่ต้องบริหารอะไรก็มีกินมีใช้ สุขสบายดี  อยากได้อะไรก็ได้ ... แต่เมื่อวันเวลาเปลี่ยนไป  เริ่ม “ฉลาดขึ้น” ละ .. ชีวิตมันไม่ได้ง่ายแบบนั้นน่ะค่ะ  ถ้าจะพูดกันตรงๆ ... ไอ้ที่ทำงานได้ มีกินมีใช้  มันใช่จะเป็นแบบนี้ไปตลอดกาล ... ป๊าม๊า ที่เค้ายังสุขภาพดีอยู่  ใช่จะดีแบบนี้ตลอดไป ... นี่ยังไม่ต้องคิดว่า ถ้าเกิดวันไหน หงีมีอันเป็นไป ประสบอุบัติเหตุ แล้วใครจะมาดูแลพวกเค้าต่อ ... หรือ ถ้าไม่เก็บเงินวันนี้  แก่ไปแล้ว ทำงานไม่ไหว  จะเอาเงินที่ไหนใช้?

เริ่มคิดซะวันนี้ .. หงีว่า มันยังไม่สายไปนะคะ ... แล้วครั้งหน้า หงีจะมาเล่าต่อเรื่อง “วิธีคิดเกี่ยวกับการลงทุน” ... สิ่งที่คุณต้องรู้ ต้องเข้าใจ ก่อนเอาเงินไปลงทุนกับอะไรใดๆก็ตาม โดยเฉพาะ “หุ้น”

ขอบคุณที่อ่านนะคะ ... หงีหวังว่า มันจะเป็นประโยชน์กับคุณค่ะ^^
 

No comments:

Post a Comment