สวัสดีค๊า^^ คิดถึงป้าไหมคะ? คิดถึงเถอะค่ะ ไม่งั้นเดี๋ยวป้าจะเขิน ถ้าถามแล้วไม่มีคนตอบรับ 555+
ในระหว่างช่วง Low ของร้านในตอนบ่าย ... อยู่ดีๆ ป้าก็เกิดความรู้สึกอยากจะเขียนขึ้นมา เพราะคิดถึงการระบาย พรั่งพรู บอกเล่าเรื่องราวต่างๆค่ะ หุหุหุ ดูเก็บกดเนอะ
ตามที่สัญญา ... คราวนี้ ป้าจะมาเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับ “การลงทุนส่วนบุคคล” ค่ะ ...
อย่างที่บอก ... การวางแผนการเงิน การบริหารจัดการการเงินส่วนบุคคล ... นอกเหนือจากการ หาให้มาก ใช้ให้น้อยแล้ว มันก็ยังมีเรื่องของการ “เก็บออม” และ “ลงทุน” ด้วยค่ะ
และปัญหาโลกแตกสำหรับคนที่มีเงินเหลือ ( เฮ้ย ฟังดูดี ) ก็คือ จำนวนเงินที่เหมาะสมที่ควรนำไปลงทุนควรจะเป็นเท่าไหร่? แล้วควรจะเก็บสำรองฉุกเฉินไว้ในธนาคารให้เบิกง่ายๆเท่าไหร่ดี?
ก่อนจะรู้ว่า ควรเอาเงินไปลงทุนเท่าไหร่ดี ... เราต้องทำความเข้าใจก่อนว่า เงิน เก็บไว้เฉยๆ มันก็ไม่ได้เพิ่มมูลค่าอะไร มีแต่จะเสื่อมค่าลงไปเรื่อยๆ เพราะเรื่องของ “เงินเฟ้อ” ( คงจำเคสข้าวกะเพราไก่ไข่ดาวในโพสต์ที่แล้วได้ใช่ไหมคะ? )
ดังนั้น ท่านว่า ยิ่งเก็บ “เงินสด” ไว้กับตัวมากเท่าไหร่ ต้นทุนของมันก็คือ ค่าเสียโอกาส ที่จะไปทำให้มันงอกเงย มากเท่านั้น ... แต่อย่างไรก็ตาม เอาแต่พอดีค่ะ มนุษย์ปกติทุกคน ควรมีเงินสดติดตัวไว้ใช้ค่ะ
ตามหลักการวางแผนการเงินส่วนบุคคลนั้น ท่านว่า ... ก่อนที่เราจะนำเงินไปลงทุนนั้น เราควรจะมีเงินที่เก็บไว้ใช้จ่ายทั้งหมด 3 ส่วนด้วยกัน คือ 1)เงินที่ไว้ใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน 2)เงินที่เก็บสำรองไว้ใช้จ่ายยามฉุกเฉิน 3)เงินที่เก็บสำรองไว้เพื่อจุดประสงค์อะไรบางอย่าง เช่น เงินเก็บซื้อรถ เป็นต้น
สำหรับเงินในส่วนแรก คือ เงินที่ไว้ใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน ท่านว่า เราควรเก็บเงินสดไว้กับตัว ไว้ใช้จ่ายเนี่ย ประมาณ ให้เพียงพอต่อการใช้จ่าย 1-2 สัปดาห์ นอกนั้น ให้ไปเก็บในรูปฝากออมทรัพย์ หรืออื่นๆแทน ... ซึ่งป้าคิดว่า ถ้าหากจะเก็บไว้ในรูปของบัญชีออมทรัพย์แล้ว ก็ควรจะเป็นบัญชีแยกออกจากบัญชีออมทรัพย์ที่ตั้งใจเก็บออมเพื่อวัตถุประสงค์อย่างอื่น เพื่อเป็นการควบคุมค่าใช้จ่าย และง่ายต่อการบริหารจัดการ
มาถึงเงินส่วนที่ 2 คือ เงินที่เก็บสำรองไว้ใช้ยามฉุกเฉิน ... ท่านว่า เราควรเก็บเงินส่วนนี้ไว้ประมาณ 3 – 6 เท่าของค่าใช้จ่ายในแต่ละเดือน เช่น ถ้าหากทุกๆเดือนคุณมีค่าใช้จ่ายทั้งหมด 10,000 บาท คุณจะต้องมีเงินสำรองนี้ประมาณ 30,000 – 60,000 บาท ... เหตุผลในข้อนี้ท่านว่า เผื่อตกงานกระทันหัน อย่างน้อย คุณจะสามารถมีเงินไว้ใช้เลี้ยงชีพไปได้ราว 3 – 6 เดือนในระหว่างที่หางานใหม่ ... ทั้งนี้ทั้งนั้น ในส่วนตัวป้าคิดว่า เงินในข้อนี้ เอาที่สบายใจค่ะ บางคนอยากเก็บซัก 12 เท่าของค่าใช้จ่ายต่อเดือน หรือ 20 – 30 เท่า .. แล้วแต่ เอาที่เหมาะสมกับตัวคุณและครอบครัว ... ป้าคิดว่า ค่าใช้จ่ายไม่คาดฝัน หลักๆ นอกจากการตกงานก็คือ ค่าใช้จ่ายทางด้านสุขภาพ เจ็บป่วย พิการ บาดเจ็บ อะไรต่างๆ ซึ่งถ้าหากคุณและคนในครอบครัวมีประกันสุขภาพอยู่แล้ว ตรงนี้ก็ทำให้ความจำเป็นที่คุณจะต้องสำรองเงินไว้มากๆนั้นลดลง แต่ถ้าหากคุณและคนในครอบครัวไม่ได้มีประกันสุขภาพอะไร อันนี้ อาจจะทำให้คุณต้องพิจารณาเก็บเงินสำรองในส่วนนี้มากขึ้นค่ะ ... ดังนั้น สรุป เอาที่เหมาะสม เอาที่สบายใจ J
สำหรับเงินในส่วนสุดท้าย คือ เงินที่เก็บสำรองไว้เพื่อจุดประสงค์อะไรบางอย่าง อันนี้มันก็ขึ้นอยู่กับว่า "จุดประสงค์อะไรบางอย่าง" ของคุณนั้น คืออะไร? เช่นข้างบน ป้ายกตัวอย่าง เก็บเงินซื้อรถ อันนี้คุณก็ควรจะแยกบัญชีออกมาอีกหนึ่งบัญชีเพื่อให้ชัดเจน ไม่วุ่นวาย ไม่เสี่ยงต่อการดึงเงินส่วนนี้ไปใช้ค่ะ
และเมื่อกันเงินไว้ครบทั้ง 3 ส่วนแล้ว ... เหลือเท่าไหร่ จึงจะพิจารณานำไป "ลงทุน" ทำให้งอกเงย ^^ ซึ่งการลงทุนนั้น ป้าเคยเกริ่นไปในโพสต์ก่อนๆแล้วอ่ะนะคะ หลักๆ คนธรรมดาอย่างเรา จะนำเงินไปลงทุนได้ก็มีอยู่หลักๆ คือ กองทุน, หุ้นกู้, หุ้น, ทองคำ, อสังหาริมทรัพย์ และ สินทรัพย์เพิ่มมูลค่าอย่างอื่น ซึ่งป้าจะเล่าคอนเซปต์ของสินทรัพย์ต่างๆให้ฟังที่เป็นสินทรัพย์ทางการเงินเท่านั้น ไม่รวม ทองคำ เพราะไม่ถนัด ไม่มีความรู้ และ สินทรัพย์เพิ่มมูลค่าอย่างอื่น ซึ่งมันค่อนข้างเป็นไปได้กว้างมาก ตั้งแต่ ภาพเขียน ไปจนถึงนาฬิกา และสาวๆบางคนก็บอกว่า กระเป๋า ซึ่งในหมวดนี้ ป้าขอบอกว่า ป้าไม่ถนัดอีกเช่นกันค่ะ
ก่อนอื่น .. คุณต้องเข้าใจนะคะว่า "การลงทุนมีความเสี่ยง" ... อันนี้ เป็นกฎธรรมชาตินะคะ ไม่ว่าคุณจะลงทุนในสินทรัพย์ตัวไหน ... จริงอยู่ว่า Government Bond หรือ หุ้นกู้รัฐบาล จะถูกจัดหมวดเป็น Risk Free Asset หรือ สินทรัยพ์ไม่มีความเสี่ยง ... แต่สำหรับป้าแล้ว ป้าคิดว่า มันก็ยังมีความเสี่ยงอยู่ดี แค่มากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับว่าผู้กู้คือประเทศอะไรค่ะ ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเป็น หุ้นกู้รัฐบาลอังกฤษ แบบนี้ ป้าก็ว่าความเสี่ยงต่ำนะคะ เพราะเศรษฐกิจประเทศเค้าแข็งแรง ... แต่ถ้าหากเป็น หุ้นกู้รัฐบาลกรีซ ล่ะ? ถามหน่อยว่า ใครกล้าซื้อบ้างคะ? จำได้ใช่ไหมว่า พี่กรีซแกประเทศล้มละลายน่ะ
เพราะฉะนั้น ป้ายังยืนยันคำเดิมนะคะ "การลงทุนทุกชนิดมีความเสี่ยง" ดังนั้น คุณควรจะศึกษาสินทรัพย์ที่คุณกำลังจะนำเงินไปลงทุนให้ดีค่ะ ไม่ว่ามันจะเป็นอะไร
อ่ะ เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา ... ป้าจะขอพูดถึงสินทรัพย์ตัวแรกค่ะ นั่นก็คือ หุ้นกู้ ... หุ้นกู้ มาจากคำว่า หุ้น + กู้ ... การกู้ ก็คือ กู้หนี้ยืมสินนั่นล่ะ ... ส่วนคำว่า หุ้น ก็คือ หุ้นกัน ...ดังนั้น หุ้นกู้ คือ หุ้นๆกัน นำเงินมาให้เขากู้ ... เข้าใจมิ ... ดังนั้น หุ้นกู้ ก็คือ การที่คุณมีศักดิ์เป็นเจ้าหนี้ นำเงินมาให้ ลูกหนี้ ซึ่งอาจจะเป็นรัฐบาล หรือ บริษัทห้างร้านต่างๆ กู้ยืมเงิน และตามหลักธรรมดาสากลโลก ... เอาเงินให้เขากู้ คุณก็จะได้ "ดอกเบี้ย" ตามอัตราที่ตกลงกันไว้ ซึ่งจะจ่ายให้ตามรอบเวลาที่กำหนดกันไว้ เช่น ปีละครั้ง, ทุก 6 เดือน หรือ ทุก 3 เดือน เป็นต้น ... อ่ะ แล้วทำไมต้องมีคำว่า "หุ้น" ด้วยล่ะ? แหม่.. คุณขา ก็หลายๆครั้ง จำนวนเงินที่ รัฐบาล หรือ บริษัทใหญ่ๆ เค้าต้องการกู้เนี่ย ก็เป็นจำนวนเงินมหาศาลบานตะไท เช่น หลายพันล้าน หรือ หมื่นล้าน ซึ่งยาก ที่คนๆเดียวจะมีเงินมากขนาดนั้น หรือมีมากกว่านั้น ก็เป็นการลำบากใจที่จะต้องเป็นเจ้าหนี้แต่เพียงผู้เดียว เพราะมันจะเท่ากับรับความเสี่ยงไว้แต่เพียงผู้เดียว .. ดังนั้น มันจึงจำเป็นต้อง "ซอย" ออกมาเป็นหน่วยย่อยๆ แล้วให้คน "หลายๆคน" เอาเงินมาหุ้นๆกันให้กู้ได้ J
ตรงนี้ ... อย่างที่บอก คุณจะได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนเป็นอัตราคงที่ (Fixed Income) ซึ่งก็คือ "ดอกเบี้ย"…. ซึ่งจะได้มากหรือน้อย ก็ขึ้นอยู่กับว่า ลูกหนี้ หรือ ผู้กู้นั้นเป็นใคร? ถ้าหากเป็นรัฐบาล เนื่องจากเสี่ยงต่ำ คุณก็จะได้ดอกน้อยหน่อยค่ะ แต่ถ้าหากเป็นบริษัทเอกชน คุณก็จะได้ดอกเบี้ยสูงกว่ารัฐบาลค่ะ แต่จะสูงกว่ามากน้อยแค่ไหน ก็ขึ้นอยู่กับว่า บริษัทนั้นมีอันดับความน่าเชื่อถือเป็นอย่างไร ถ้าอันดับความน่าเชื่อถือมาก ความเสี่ยงต่ำ อัตราดอกเบี้ยก็ไม่สูงนัก แต่ถ้าหากมีอันดับความน่าเชื่อถือต่ำ ความเสี่ยงสูง อัตราดอกเบี้ยที่จะได้รับก็จะสูงตามค่ะ ... อันนี้ ก็แล้วแต่ความพอใจของผู้ลงทุนค่ะ เช่น ถ้าหากคุณเห็นว่า บริษัท ABS ถึงแม้จะมีอันดับความน่าเชื่อถือไม่สูงนัก แต่คุณดูแล้วกิจการมั่นคง ผู้บริหารก็เป็นคนดีน่าเชื่อถือ คุณก็อาจจะเลือกให้บริษัท ABS กู้ก็ได้ ^^
ซึ่งปัจจุบัน ... ก็มีหุ้นกู้ออกมามากมายนะคะ ผู้สนใจลงทุนสามารถหาข้อมูลได้จาก www.thaibond.com และ www.thaibma.or.th ค่ะซึ่งถ้าลองเข้าไปดูก็จะพบว่า หุ้นกู้หลายๆตัว จะออกให้แก่ ผู้ลงทุนสถาบันหรือผู้ลงทุนรายใหญ่เท่านั้น ดังนั้น มันจึงมี "กองทุนรวมหุ้นกู้" ออกมา เพื่อให้นักลงทุนรายย่อยอย่างเราได้ลงทุนค่ะ^^ ซึ่งในรายละเอียด หงีจะเล่าต่อไปใน Part ของ กองทุนรวม นะ
เอาล่ะค่ะ .. วันนี้ป้าจะขออนุญาติ เล่าให้ฟังแต่เพียงเท่านี้ก่อนเนื่องจากนั่งมานานก็ปวดหลังแล้ว '-_-! แล้วคราวหน้า ป้าจะมาเล่าให้ฟังต่อถึงสินทรัพย์ทางการเงินอันต่อๆไปนะ ^^
ขอบคุณมากๆที่เข้ามาอ่าน ^^ ป้าหวังว่า จะได้ประโยชน์บ้างไม่มากก็น้อยนะคะ ... ป้าอยากให้ทุกคนดำเนินชีวิตอยู่ในความไม่ประมาท และมีคุณภาพชีวิตที่มั่นคงค่ะ
God Bless You,
No comments:
Post a Comment