Tuesday, October 11, 2016

มาวางแผนการเงินกันเถอะ 3

สวัสดีค่าาาาาาา  ป้าหงีคนเดิมเพิ่มเติมคือความเสียสติ มารายงานตัวค่าาาาาาา

หลังจากที่ตลาดหุ้นร่วงลงเละติดต่อกันเป็นเวลา 2 วันแบบไม่ให้พักหายใจหายคอ ... ป้าก็ได้รู้สึกอึนๆ มึนๆ เสียสติเป็นบางเวลา ... ว่ากันไปตามสภาพนะคะ^^

วันนี้ก็ตามเคยค่ะ จะมาเล่าเรื่อง "การวางแผนการเงินส่วนบุคคล" กันต่อ ... เรายังคงอยู่ในส่วนของ "การลงทุน" นะคะ  ซึ่งโพสต์ที่แล้ว ป้าเล่าเรื่อง "หุ้นกู้" ไปแล้ว ... สำหรับใครที่สนใจ ก็เชิญนะคะ "มาวางแผนการเงินกันเถอะ 2" ตามไปเยี่ยมชมกันได้

เข้าธีมกับความเสียสติของป้า ... โพสต์นี้ป้าจะมาเล่าเรื่องการลงทุนในสินทรัพย์ทางการเงินตัวที่ป้าชอบที่สุด นั่นก็คือ "หุ้น" ค่ะ :)

คุณขา ... ก่อนอื่น คุณต้องเข้าใจนะคะว่า สินทรัพย์ทางการเงินที่คุณจะสามารถนำเงินของคุณไปลงทุนแล้วทำให้งอกเงยได้นั้นมี 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ  ประเภทหนี้สิน ( คุณเป็นเจ้าหนี้ เอาเงินไปให้เค้ากู้) และ ประเภทส่วนของทุน (คุณเอาเงินไปร่วมทำธุรกิจกับเค้า)    

"หุ้น" เป็น สินทรัพย์ทางการเงินประเภท "ส่วนของทุน" ซึ่งก็คือ การที่คุณนำเงินไปร่วมทำธุรกิจกับเค้า

โปรดฟังอีกครั้งหนึ่ง ... คุณ  นำเงินไป "ร่วมทำธุรกิจกับเค้า" ....

หลายๆคน คงเคยได้ยินได้ฟังกันมาบ้างว่า ... การลงทุนในหุ้น หรือ คนชอบเรียกว่า"เล่นหุ้น" ( ซึ่งป้าไม่ชอบคำว่า "เล่นหุ้น" นะคะ ... การลงทุนในหุ้น ไม่ใช่ "การพนัน" ค่ะ.. ถ้าคุณเห็นมันเป็นการพนัน ป้าว่า เชิญที่บ่อนค่ะ  เร็วกว่า ปวดหัวน้อยกว่า แทงสูงแทงต่ำ แทงดำแทงแดง กันไปเลย  ไม่ต้องปวดหัวดูกราฟ หรืออ่านรีเสิร์ชให้ตาลาย ... อุตะ บ่นเยอะ '-_-!)  ค่ะ  ... มันมี 2 แนวทางหลักๆ คือ  การลงทุนโดยดูปัจจัยพื้นฐาน (Fundamental) และ การลงทุนโดยดูปัจจัยทางเทคนิค ( Techinical )  ซึ่งอย่างหลังเนี่ย... ป้าไม่เชี่ยวชาญ  และได้ทดลองมากับตัวแล้วก็พบว่า ไม่ถูกกับจริตของป้า จึงจะขอละไว้ ไม่ให้รายละเอียดนะคะ ^^

ในส่วนของ "การลงทุนโดยดูปัจจัยพื้นฐาน" ... อย่างที่บอก คุณกำลังเอาเงินไปร่วมทำธุรกิจกับเค้า ... ไม่ต้องคิดอะไรลึกค่ะ ... เหมือนคุณเอาเงินไปลงทุนทำร้านก๋วยเตี๋ยว  คุณหวังอะไรคะ?  กำไรใช่ไหม? ... ฉันใดก็ฉันนั้น  คุณเอาเงินไปซื้อ "หุ้น"  คุณกำลังเอาเงินไป "ร่วมทำธุรกิจ" ดังนั้น ผลตอบแทนที่คาดหวังหลักๆ มันก็ควรจะมาจากดอกผลที่งอกเงยจากการทำธุรกิจ หรือก็คือ "กำไร" ซึ่งจะถูกจ่ายออกมาจากบริษัท มาถึงคุณในรูปของ "เงินปันผล" ค่ะ

จริงอยู่ ... หลายๆท่าน อาจจะมองถึงเรื่อง "ส่วนต่างราคา" ซึ่งอันนี้ป้าก็ต้องเรียนว่า มันเป็น "ผลพลอยได้" นะคะ ... จะเปรียบเทียบไป มันก็เหมือนร้านก๋วยเตี๋ยวร้านนั้นอ่ะค่ะ .. สมมติ คุณขายดี มีคนมาขอซื้อ "ร้าน" ... คุณลองถามใจตัวเองดู  คุณจะขายไหมคะ? ... ไม่ถูกไม่ผิดนะคะ  แต่ถ้าคุณเลือก "ขาย" ... ป้าก็อยากจะให้คุณลองคิดให้ดีค่ะ  คุณขายไป  ได้เงินมา 1 ก้อน ... อาจจะกำไรมากโขอยู่ ... คำถามคือ  "แล้วไงต่อ?"

คุณจะเอาเงินที่ได้จากการขายร้านก๋วยเตี๋ยวไปทำอะไรต่อคะ?  ลงทุนธุรกิจใหม่? หรือจะเลิกทำงานแล้วใช้เงินที่ได้มาจากการขายร้านให้มันหมดๆไป?  :)  พอจะเห็นภาพอะไรไหมคะ?

ดร.นิเวศน์ เคยเขียนหนังสือเล่มหนึ่งชื่อ "หุ้นห่านทองคำ" ... ป้าคิดว่า เป็นการเปรียบเทียบที่เห็นภาพ และงดงามจริงๆ ... คุณคงเคยอ่านนิทานเรื่อง "ห่านทองคำ" กันใช่ไหม? ... ถ้าไม่เคยไม่เป็นไร  ป้าพร้อมจะเล่าคร่าวๆให้ฟังค่ะ  แหะๆ  ... ถ้าหากคุณมีห่าน 1 ตัว และห่านตัวนั้น ออกไข่เป็น "ทองคำ" ซึ่งคุณสามารถนำ "ไข่" นั้นไปขายที่ตลาด เพื่อนำเงินมาประทังชีวิต ซื้อของต่างๆได้ ... ทางที่ฉลาด และเป็นการเลี้ยงชีพในระยะยาว  คุณจะเลือกทำอะไรคะ ระหว่าง ดูแลห่านนั้นให้ดี แล้วรอให้มัน "ออกไข่" เพื่อนำไปขายที่ตลาดเรื่อยๆจนตลอดชีวิตของมัน  หรือคุณเลือกจะ "ขายห่าน" หรือ "ผ่าท้องห่านเพื่อเอาไข่ทองคำทั้งหมดในคราวเดียว"? ซึ่งมีไม่มีก็ไม่รู้นะคะ

ฉันใดก็ฉันนั้น ... ถ้าหากคุณปลูกต้นแอปเปิ้ล  แน่นอน คุณคงหวังกิน "ผลแอปเปิ้ล" มากกว่าจะรอมันออกลูก แล้วถอนต้นมันขายเพื่อก่อรายได้แค่ "ครั้งเดียว" ใช่ไหม

การลงทุนในหุ้นก็เหมือนกันค่ะ ... ป้าคิดว่า คุณควรจะมี Mindset ที่ถูกต้องเสียก่อน ว่า นี่คือการลงทุน และคุณต้องการอะไรจากการลงทุน

ส่วนต่างราคา เป็นแค่ "ผลพลอยได้" ... และไม่ใช่เรื่องเลยที่จะต้องไปนั่งกังวลต่อมัน "ทุกวัน" "ทุกๆวัน" ( ยกเว้น คุณลงทุนในแนวทางของ Technical ซึ่งต้องคอยดูความเปลี่ยนแปลงของราคา ที่เรียกกันว่า Price Pattern ประกอบกับ Indicator ตัวอื่นๆ แล้วแต่ใครจะชอบแบบไหน)

คุณควรจะเข้าใจค่ะว่า ตามทฤษฎีแล้ว แม้ "ราคา" ควรจะสัมพันธ์กับ "พื้นฐาน" ... แต่ในความเป็นจริง "ราคาหุ้น" ไม่ใช่แค่เรื่องของพื้นฐาน  แต่มีปัจจัยด้าน Demand และ Supply เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย  ยกตัวอย่างง่ายๆ เช่น  ถ้าหากวันนี้  "คนส่วนใหญ่" สนใจในธุรกิจใดธุรกิจหนึ่ง  ธุรกิจนั้น ก็จะได้รับความนิยม ก่อให้เกิด Demand มาก ซึ่งตามหลักเศรษฐศาสตร์ง่ายๆ ก็คงจะพอทราบได้เนาะคะว่า  Demand increase, price increase :)  ในทางกลับกัน ถ้าหากวันนี้ "คนส่วนใหญ่" ได้ "ข่าวร้าย" ซึ่งยังไม่รู้เรื่องจริงหรือโคมลอย  หรือยังไม่ได้ประเมินผลกระทบที่เกิดขึ้นอย่างถ่องแท้  แต่ "รู้สึก และคิด" ว่ามันไม่ดีต่อธุรกิจนี้แน่ๆ  ก่อให้เกิด ความต้องการจะ "ขาย" ซึ่งก็คือทำให้มี Supply ของหุ้นตัวนี้มากขึ้น  หลักเศรษฐศาสตร์อันเดิม  Supply increase, price decrease ค่ะ  .... ซึ่งอันนี้เป็นแค่ตัวอย่างของปัจจัยที่เป็นที่มาของ Demand และ Supply ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว มีเหตุอีกมากนักที่จะทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงใน Demand และ Supply ได้

ดังนั้น ... ป้าจึงบอกว่า  ให้มองการลงทนในหุ้น คือ การลงทุนทำธุรกิจ ... ดูที่พื้นฐาน ... ดูที่ "ไข่ทองคำ" หรือ "ผลกำไรของบริษัท" ..  ถ้าหากคุณมองว่า ธุรกิจนั้นดี ทำกำไรงอกงาม จ่ายปันผลให้คุณได้ชื่นใจอยู่สม่ำเสมอ ... สิ่งที่คุณควรจะจับตาในระหว่างทาง คือ "ผลการดำเนินงานของบริษัท" , พื้นฐานของธุรกิจ และ ปัจจัยอื่นที่เกี่ยวข้องกับผลการดำเนินงานในอนาคต

ถ้าหากคุณมองแล้วว่า บริษัทมีกิจการที่ดี  พื้นฐานธุรกิจไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลงไป และมองแล้วว่า บริษัทมีการปรับตัวให้ทันต่อความต้องการของผู้บริโภคตลอดเวลา รวมถึงได้วิเคราะห์ปัจจัยสำคัญอื่นด้วยแล้วพบว่า บริษัทยังดำเนินกิจการดีอยู่ ... ห่านของคุณ  ยังคงให้ "ไข่ทองคำ" กับคุณได้อยู่ ... คุณควรจะขาย "ห่าน" ไหมคะ? ... คงไม่มั้งเนอะ  คงควรจะเลี้ยงดูมันให้ดี เก็บมันไว้  เพื่อให้มันผลิต "ไข่ทองคำ" ให้คุณต่อไป  :)

อย่างไรก็ตามค่ะ ... สิ่งทีคุณต้องพิจารณาอีกอย่างหลังจากหา "ธุรกิจพื้นฐานดี" ที่คุณได้ศึกษามาเป็นอย่างดีแล้ว นั่นก็คือ "ราคาซื้อ" หรือ "ราคาหุ้น" ที่คุณกำลังจะเข้าซื้อนั่นแหละ ... ว่ามัน "แพง" ไปไหม?

ถ้าตามหลักทางการเงินแล้ว .. มันก็มีหลายวิธีในการประเมินมูลค่า หรือ ราคาหุ้น ... ซึ่งก็จะมีทั้ง DCF, P/E, PBV, etc. มากมาย (สำหรับผู้สนใจ สามารถหาอ่านได้จาก post ก่อนๆของป้า หรือจะ google เอา ก็มีมากมายค่า ^^)

ส่วนเวลานำมาใช้จริง  ป้าคิดว่า ... คุณจะซื้ออะไร คุณก็ต้องดูว่า คุณ "ได้" อะไร ... จริงไหม?  หุ้นก็เหมือนกันแหละ ... คุณคาดหวัง "กำไร" ใช่ไหม? ... ดังนั้น ง่ายๆเลยค่ะ ... ให้คุณมองว่า บริษัทนี้ จะทำกำไรให้คุณปีละเท่าไหร่ ... แล้วก็นำกำไรนั้น มาคิดพิจารณาอีกทีว่า  คุณจะ "ให้ราคา" กับการลงทุนในบริษัทนี้เท่าไหร่ ... หงีขอให้แนวทางในการพิจารณาราคาง่ายๆแบบนี้แหละค่ะ  เพราะว่า มันไม่มี ถูก หรือ ผิด ... มันแล้วแต่ความเห็น และความ "พอใจ" ของคนซื้อ

เช่น  ถ้าบริษัท a สร้างกำไรปีละ 100 ล้านบาท คิดเป็นกำไรต่อหุ้น หุ้นละ 1 บาท ... ถ้าหากหงีมองว่า บริษัทนี้ จะไม่หยุดแค่นี้ มันจะโตอย่างก้าวกระโดดในปีหน้า เป็น กำไรต่อหุ้น หุ้นละ 2 บาท แล้วจะโตต่อเรื่อยๆ โดยภายใน 5 ปี จะมีกำไรต่อหุ้น รวมกัน ประมาณ 7 บาท ... หงีอาจจะ "พอใจ" ซื้อหุ้นนี้ ในราคา 7 บาท

ในขณะเดียวกัน ... หุ้นตัวเดียวกัน ... แต่ สมมติว่า เพื่อนหงีมองว่า กำไรต่อหุ้น หุ้นละ 1 บาทปีนี้  แต่บริษัทน่าจะโตเป็น 10 เท่า ในอีก 5 ปีข้างหน้า ... เค้าอาจจะ "พอใจ" ซื้อที่ 10 บาทก็ได้

ส่วนเพื่นอีกคน ... หุ้น a เนี่ยแหละ ... แต่มองว่า กันเหนียวเว้ย  สมมติมันไม่โต ทำกำไรปีละ 1 บาทต่อหุ้นเนี่ย ... สมติซื้อวันนี้  เก็บไว้เย็นๆ คิดว่า 5 ปีทนได้ ... คนนี้อาจจะ "พอใจ" ซื้อที่ราคา 5 บาท

และตัวอย่างสุดท้าย ... ถ้าเพื่อนคนสุดท้ายนี้ คิดเหมือนคนก่อนหน้า คือ กันเหนียว สมมติไม่โต เก็บไว้เย็นๆ 5 ปีทนได้ .. แต่คนนี้ คิดว่า ณ สิ้นปีที่ 5 จะขายหุ้นออกไป ก็จะได้เงินจากการขายหุ้นมาด้วย ... เพื่อนคนนี้ อาจจะ "พอใจ" ซื้อในราคาทีสูงกว่า 5 บาท .. แต่จะ "พอใจ"ที่เท่าไหร่นั้น ก็แล้วแต่ว่า เค้ามองว่า ณ สิ้นปีที่ 5 เค้าคิดว่า เค้าจะขายหุ้นได้ราคาเท่าไหร่

แน่นอน ... ไม่มีใครประเมินแค่ "เท่าทุน" หรอก ... คิดว่าได้จะได้เท่าไหร่  ก็จะ "ลด" จากสิ่งที่ประเมินนั้นลงมา ... แล้วแต่ความพึงพอใจของแต่ละท่าน ... และแน่นอน  ถ้าราคามันเกินกว่าที่คุณ "พอใจ" มันก็คง "แพง" สำหรับคุณจริงไหม?  ดังนั้น อะไรที่ "แพงไป" ก็ไม่ต้องซื้อค่ะ .. คุณเลือกได้ คุณจะรอ "ราคาถูกลง" หรือ "หาของอื่น" ก็ได้  แล้วแต่คุณจะพอใจ :)

วิธีที่ป้ายกมาเป็นตัวอย่างเนี่ย .. มันคล้ายๆกับวิธี P/E หรือ Price to Earning หรือ การให้ราคาเป็นกี่เท่าของกำไรต่อหุ้น :) ซึ่งป้าคิดว่า จะใช้คำว่า P/E ก็ฟังดูวุ่นวายค่ะ  เอาหลักง่ายๆ วิธีคิดของมันเนี่ยแหละ มาเล่าให้ฟัง น่าจะเข้าใจง่ายดี

ป้าขอสรุป "การลงทุนในหุ้น" อย่างง่ายๆตรงนี้นะคะว่า  มันคือการที่คุณเอาเงินไปร่วมทำธุรกิจกับเขา ... ดังนั้น  จะเอาเงินไปให้ใคร "ศึกษาให้ดีเสียก่อน" ... อย่าลงทุนในธุรกิจที่คุณ "ไม่เข้าใจ" และอย่า "ละเลย" ไม่ติดตามข่าวสารความเป็นไปเมื่อได้ลงทุนไปแล้ว

"หุ้นดี" แบบ "เขาเล่าว่า" เขาบอกมา ราคามันจะไปเท่านู้นเท่านี้บาท ... ป้าคิดว่า ฟังหูไว้หูดีกว่านะคะ ... กรุณาศึกษาบริษัท "หุ้นดี" นั้นให้ดี ... อะไรจะเป็นปัจจัยให้ราคามันวิ่งไปขนาดนั้น?  พื้นฐานธุรกิจเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมืออันจะทำให้บริษัทมีกำไรเป็นกอบเป็นกำ เติบโตแบบก้าวกระโดดพุ่งเป็นจรวด หรืออย่างไร?  ... ป้าขอเตือนไว้  หากขาด "พื้นฐาน" ที่ดีแล้ว ... หุ้นเขาเล่าว่า แบบนี้ ... ล้วนแล้วแต่หุ้นซิ่งไม่ลิ่งก็ฟลอร์ ซึ่งเมื่อมันลิ่ง คุณจะขายไม่ทัน แต่เมื่อมันฟลอร์  คุณจะมีมันติดอยู่ในพอร์ต ฟ้องเป็นค่าวิชาที่คุณลงเรียนศาสตร์ "เขาเล่าว่า" ไป

สำหรับ .. สาเหตุ ที่ตลาดลง 2 วันติดมานี้ ... ป้าไม่สามารถบอกได้ค่ะ ด้วยหนึ่งคือ รู้น้อย ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญ และ สองคือ  ป้าเชื่อวา ไม่มีใครรู้เหตุผลที่แท้จริง ... มันก็แค่การตัดสินใจของคนหมู่มาก ... ซึ่งอย่างที่ป้าบอก  ถ้าหากคุณได้ตัดสินใจดีแล้ว  ซื้อหุ้นที่ "พื้นฐานดี" ใน "ราคาเหมาะสม" แล้ว ... คุณไม่มีอะไรจะต้องกังวลค่ะ .... แม้ตลาด "ในวันนี้" จะเป็นอย่างไร  มันแค่สะท้อน "การตัดสินใจของคนหมู่มาก ในวันนี้" ไม่ใช่ "ตลอดไป"

อย่างไรก็ตาม  ข้อควรระวังที่ป้าต้องใส่ไว้หน่อยคือ  เมื่อเกิดวิกฤต ... คนส่วนมาก มักตัดสินใจ "ขาย" ซึ่งอาจจะทำให้ราคาหุ้นที่คุณลงทุนอยู่ดำดิ่งลึกลงไปมาก หลายๆครั้ง มากจนคุณอาจจะต้องตกใจ ... อันนี้ ป้าต้องบอกไว้ เพราะ เมื่อเกิดเหตุการณ์นั้นขึ้น  แต่ละคนจะมีวิธีการตัดสินใจไม่เหมือนกัน ... เช่น  ถ้าหากบางคน เงินเย็น รอได้  ไม่ได้สนใจราคาหุ้นจะเป็นเท่าไหร่ ตราบใดกิจการยังคงดำเนินไปตามปกติและเติบโต จะรอกินแต่ "ข่ทองคำ"  คนแบบนี่้ เค้าก็อาจจะตัดสินใจ "ม่ขาย"  แต่ในขณะเดียวกัน  หากคุณ ไม่มั่นใจ อยากจะกอดเงินไว้  คุณจะขายออกมาในเวลานั้น มันก็ไม่ได้ผิด  เพราะมันเป็น "เงินของคุณ"

อันที่จริง ในเรืองของการลงทุนในหุ้น  มันมีรายละเอียดค่อนข้างมากที่คุณควรจะศึกษาให้ดีก่อนการลงทุน .. แต่วันนี้ ป้าขออนุญาตนำมาเล่าแบบ คร่าวมากๆ  เพื่อเป็นการปูพื้นฐานสำหรับผู้ที่สนใจในการลงทุนในหุ้นค่ะ

โปรดฟังอีกครั้งหนึ่งนะคะ ... ถ้าหากคุณกำลังตัดสินใจอยากจะซื้อหุ้น นั่นหมายความว่า คุณกำลังจะนำ "เงินของคุณ" ไป "ร่วมทำธุรกิจ" กับคนอื่น  ดังนั้น  จะเอาเงินไปให้ใคร  ศึกษาให้ดี ให้รอบคอบค่ะ ^^

ด้วยความปรารถนาดีจากป้า

รักนะ จุ๊บ จุ๊บ

God Bless you

Thursday, September 15, 2016

มาวางแผนการเงินกันเถอะ 2



สวัสดีค๊า^^ คิดถึงป้าไหมคะ? คิดถึงเถอะค่ะ ไม่งั้นเดี๋ยวป้าจะเขิน ถ้าถามแล้วไม่มีคนตอบรับ 555+

 
ในระหว่างช่วง Low ของร้านในตอนบ่าย ... อยู่ดีๆ ป้าก็เกิดความรู้สึกอยากจะเขียนขึ้นมา เพราะคิดถึงการระบาย พรั่งพรู บอกเล่าเรื่องราวต่างๆค่ะ หุหุหุ ดูเก็บกดเนอะ
 
ตามที่สัญญา ... คราวนี้ ป้าจะมาเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับ “การลงทุนส่วนบุคคล” ค่ะ ...
อย่างที่บอก ... การวางแผนการเงิน การบริหารจัดการการเงินส่วนบุคคล ... นอกเหนือจากการ หาให้มาก ใช้ให้น้อยแล้ว มันก็ยังมีเรื่องของการ “เก็บออม” และ “ลงทุน” ด้วยค่ะ
 
และปัญหาโลกแตกสำหรับคนที่มีเงินเหลือ ( เฮ้ย ฟังดูดี ) ก็คือ จำนวนเงินที่เหมาะสมที่ควรนำไปลงทุนควรจะเป็นเท่าไหร่? แล้วควรจะเก็บสำรองฉุกเฉินไว้ในธนาคารให้เบิกง่ายๆเท่าไหร่ดี?
ก่อนจะรู้ว่า ควรเอาเงินไปลงทุนเท่าไหร่ดี ... เราต้องทำความเข้าใจก่อนว่า เงิน เก็บไว้เฉยๆ มันก็ไม่ได้เพิ่มมูลค่าอะไร มีแต่จะเสื่อมค่าลงไปเรื่อยๆ เพราะเรื่องของ “เงินเฟ้อ” ( คงจำเคสข้าวกะเพราไก่ไข่ดาวในโพสต์ที่แล้วได้ใช่ไหมคะ? )

 
ดังนั้น ท่านว่า ยิ่งเก็บ “เงินสด” ไว้กับตัวมากเท่าไหร่ ต้นทุนของมันก็คือ ค่าเสียโอกาส ที่จะไปทำให้มันงอกเงย มากเท่านั้น ... แต่อย่างไรก็ตาม เอาแต่พอดีค่ะ มนุษย์ปกติทุกคน ควรมีเงินสดติดตัวไว้ใช้ค่ะ

 
ตามหลักการวางแผนการเงินส่วนบุคคลนั้น ท่านว่า ... ก่อนที่เราจะนำเงินไปลงทุนนั้น เราควรจะมีเงินที่เก็บไว้ใช้จ่ายทั้งหมด 3 ส่วนด้วยกัน คือ 1)เงินที่ไว้ใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน 2)เงินที่เก็บสำรองไว้ใช้จ่ายยามฉุกเฉิน 3)เงินที่เก็บสำรองไว้เพื่อจุดประสงค์อะไรบางอย่าง เช่น เงินเก็บซื้อรถ เป็นต้น

สำหรับเงินในส่วนแรก คือ เงินที่ไว้ใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน ท่านว่า เราควรเก็บเงินสดไว้กับตัว ไว้ใช้จ่ายเนี่ย ประมาณ ให้เพียงพอต่อการใช้จ่าย 1-2 สัปดาห์ นอกนั้น ให้ไปเก็บในรูปฝากออมทรัพย์ หรืออื่นๆแทน ... ซึ่งป้าคิดว่า ถ้าหากจะเก็บไว้ในรูปของบัญชีออมทรัพย์แล้ว ก็ควรจะเป็นบัญชีแยกออกจากบัญชีออมทรัพย์ที่ตั้งใจเก็บออมเพื่อวัตถุประสงค์อย่างอื่น เพื่อเป็นการควบคุมค่าใช้จ่าย และง่ายต่อการบริหารจัดการ

 
มาถึงเงินส่วนที่ 2 คือ เงินที่เก็บสำรองไว้ใช้ยามฉุกเฉิน ... ท่านว่า เราควรเก็บเงินส่วนนี้ไว้ประมาณ 3 – 6 เท่าของค่าใช้จ่ายในแต่ละเดือน เช่น ถ้าหากทุกๆเดือนคุณมีค่าใช้จ่ายทั้งหมด 10,000 บาท คุณจะต้องมีเงินสำรองนี้ประมาณ 30,000 – 60,000 บาท ... เหตุผลในข้อนี้ท่านว่า เผื่อตกงานกระทันหัน อย่างน้อย คุณจะสามารถมีเงินไว้ใช้เลี้ยงชีพไปได้ราว 3 – 6 เดือนในระหว่างที่หางานใหม่ ... ทั้งนี้ทั้งนั้น ในส่วนตัวป้าคิดว่า เงินในข้อนี้ เอาที่สบายใจค่ะ บางคนอยากเก็บซัก 12 เท่าของค่าใช้จ่ายต่อเดือน หรือ 20 – 30 เท่า .. แล้วแต่ เอาที่เหมาะสมกับตัวคุณและครอบครัว ... ป้าคิดว่า ค่าใช้จ่ายไม่คาดฝัน หลักๆ นอกจากการตกงานก็คือ ค่าใช้จ่ายทางด้านสุขภาพ เจ็บป่วย พิการ บาดเจ็บ อะไรต่างๆ ซึ่งถ้าหากคุณและคนในครอบครัวมีประกันสุขภาพอยู่แล้ว ตรงนี้ก็ทำให้ความจำเป็นที่คุณจะต้องสำรองเงินไว้มากๆนั้นลดลง แต่ถ้าหากคุณและคนในครอบครัวไม่ได้มีประกันสุขภาพอะไร อันนี้ อาจจะทำให้คุณต้องพิจารณาเก็บเงินสำรองในส่วนนี้มากขึ้นค่ะ ... ดังนั้น สรุป เอาที่เหมาะสม เอาที่สบายใจ J

 
สำหรับเงินในส่วนสุดท้าย คือ เงินที่เก็บสำรองไว้เพื่อจุดประสงค์อะไรบางอย่าง อันนี้มันก็ขึ้นอยู่กับว่า "จุดประสงค์อะไรบางอย่าง" ของคุณนั้น คืออะไร? เช่นข้างบน ป้ายกตัวอย่าง เก็บเงินซื้อรถ อันนี้คุณก็ควรจะแยกบัญชีออกมาอีกหนึ่งบัญชีเพื่อให้ชัดเจน ไม่วุ่นวาย ไม่เสี่ยงต่อการดึงเงินส่วนนี้ไปใช้ค่ะ

 
และเมื่อกันเงินไว้ครบทั้ง 3 ส่วนแล้ว ... เหลือเท่าไหร่ จึงจะพิจารณานำไป "ลงทุน" ทำให้งอกเงย ^^ ซึ่งการลงทุนนั้น ป้าเคยเกริ่นไปในโพสต์ก่อนๆแล้วอ่ะนะคะ หลักๆ คนธรรมดาอย่างเรา จะนำเงินไปลงทุนได้ก็มีอยู่หลักๆ คือ กองทุน, หุ้นกู้, หุ้น, ทองคำ, อสังหาริมทรัพย์ และ สินทรัพย์เพิ่มมูลค่าอย่างอื่น ซึ่งป้าจะเล่าคอนเซปต์ของสินทรัพย์ต่างๆให้ฟังที่เป็นสินทรัพย์ทางการเงินเท่านั้น ไม่รวม ทองคำ เพราะไม่ถนัด ไม่มีความรู้ และ สินทรัพย์เพิ่มมูลค่าอย่างอื่น ซึ่งมันค่อนข้างเป็นไปได้กว้างมาก ตั้งแต่ ภาพเขียน ไปจนถึงนาฬิกา และสาวๆบางคนก็บอกว่า กระเป๋า ซึ่งในหมวดนี้ ป้าขอบอกว่า ป้าไม่ถนัดอีกเช่นกันค่ะ

 
ก่อนอื่น .. คุณต้องเข้าใจนะคะว่า "การลงทุนมีความเสี่ยง" ... อันนี้ เป็นกฎธรรมชาตินะคะ ไม่ว่าคุณจะลงทุนในสินทรัพย์ตัวไหน ... จริงอยู่ว่า Government Bond หรือ หุ้นกู้รัฐบาล จะถูกจัดหมวดเป็น Risk Free Asset หรือ สินทรัยพ์ไม่มีความเสี่ยง ... แต่สำหรับป้าแล้ว ป้าคิดว่า มันก็ยังมีความเสี่ยงอยู่ดี แค่มากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับว่าผู้กู้คือประเทศอะไรค่ะ ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเป็น หุ้นกู้รัฐบาลอังกฤษ แบบนี้ ป้าก็ว่าความเสี่ยงต่ำนะคะ เพราะเศรษฐกิจประเทศเค้าแข็งแรง ... แต่ถ้าหากเป็น หุ้นกู้รัฐบาลกรีซ ล่ะ? ถามหน่อยว่า ใครกล้าซื้อบ้างคะ? จำได้ใช่ไหมว่า พี่กรีซแกประเทศล้มละลายน่ะ

เพราะฉะนั้น ป้ายังยืนยันคำเดิมนะคะ "การลงทุนทุกชนิดมีความเสี่ยง" ดังนั้น คุณควรจะศึกษาสินทรัพย์ที่คุณกำลังจะนำเงินไปลงทุนให้ดีค่ะ ไม่ว่ามันจะเป็นอะไร

 
อ่ะ เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา ... ป้าจะขอพูดถึงสินทรัพย์ตัวแรกค่ะ นั่นก็คือ หุ้นกู้ ... หุ้นกู้ มาจากคำว่า หุ้น + กู้ ... การกู้ ก็คือ กู้หนี้ยืมสินนั่นล่ะ ... ส่วนคำว่า หุ้น ก็คือ หุ้นกัน ...ดังนั้น หุ้นกู้ คือ หุ้นๆกัน นำเงินมาให้เขากู้ ... เข้าใจมิ ... ดังนั้น หุ้นกู้ ก็คือ การที่คุณมีศักดิ์เป็นเจ้าหนี้ นำเงินมาให้ ลูกหนี้ ซึ่งอาจจะเป็นรัฐบาล หรือ บริษัทห้างร้านต่างๆ กู้ยืมเงิน และตามหลักธรรมดาสากลโลก ... เอาเงินให้เขากู้ คุณก็จะได้ "ดอกเบี้ย" ตามอัตราที่ตกลงกันไว้ ซึ่งจะจ่ายให้ตามรอบเวลาที่กำหนดกันไว้ เช่น ปีละครั้ง, ทุก 6 เดือน หรือ ทุก 3 เดือน เป็นต้น ... อ่ะ แล้วทำไมต้องมีคำว่า "หุ้น" ด้วยล่ะ? แหม่.. คุณขา ก็หลายๆครั้ง จำนวนเงินที่ รัฐบาล หรือ บริษัทใหญ่ๆ เค้าต้องการกู้เนี่ย ก็เป็นจำนวนเงินมหาศาลบานตะไท เช่น หลายพันล้าน หรือ หมื่นล้าน ซึ่งยาก ที่คนๆเดียวจะมีเงินมากขนาดนั้น หรือมีมากกว่านั้น ก็เป็นการลำบากใจที่จะต้องเป็นเจ้าหนี้แต่เพียงผู้เดียว เพราะมันจะเท่ากับรับความเสี่ยงไว้แต่เพียงผู้เดียว .. ดังนั้น มันจึงจำเป็นต้อง "ซอย" ออกมาเป็นหน่วยย่อยๆ แล้วให้คน "หลายๆคน" เอาเงินมาหุ้นๆกันให้กู้ได้ J

 
ตรงนี้ ... อย่างที่บอก คุณจะได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนเป็นอัตราคงที่ (Fixed Income) ซึ่งก็คือ "ดอกเบี้ย"…. ซึ่งจะได้มากหรือน้อย ก็ขึ้นอยู่กับว่า ลูกหนี้ หรือ ผู้กู้นั้นเป็นใคร? ถ้าหากเป็นรัฐบาล เนื่องจากเสี่ยงต่ำ คุณก็จะได้ดอกน้อยหน่อยค่ะ แต่ถ้าหากเป็นบริษัทเอกชน คุณก็จะได้ดอกเบี้ยสูงกว่ารัฐบาลค่ะ แต่จะสูงกว่ามากน้อยแค่ไหน ก็ขึ้นอยู่กับว่า บริษัทนั้นมีอันดับความน่าเชื่อถือเป็นอย่างไร ถ้าอันดับความน่าเชื่อถือมาก ความเสี่ยงต่ำ อัตราดอกเบี้ยก็ไม่สูงนัก แต่ถ้าหากมีอันดับความน่าเชื่อถือต่ำ ความเสี่ยงสูง อัตราดอกเบี้ยที่จะได้รับก็จะสูงตามค่ะ ... อันนี้ ก็แล้วแต่ความพอใจของผู้ลงทุนค่ะ เช่น ถ้าหากคุณเห็นว่า บริษัท ABS ถึงแม้จะมีอันดับความน่าเชื่อถือไม่สูงนัก แต่คุณดูแล้วกิจการมั่นคง ผู้บริหารก็เป็นคนดีน่าเชื่อถือ คุณก็อาจจะเลือกให้บริษัท ABS กู้ก็ได้ ^^

 
ซึ่งปัจจุบัน ... ก็มีหุ้นกู้ออกมามากมายนะคะ ผู้สนใจลงทุนสามารถหาข้อมูลได้จาก www.thaibond.com และ www.thaibma.or.th ค่ะซึ่งถ้าลองเข้าไปดูก็จะพบว่า หุ้นกู้หลายๆตัว จะออกให้แก่ ผู้ลงทุนสถาบันหรือผู้ลงทุนรายใหญ่เท่านั้น ดังนั้น มันจึงมี "กองทุนรวมหุ้นกู้" ออกมา เพื่อให้นักลงทุนรายย่อยอย่างเราได้ลงทุนค่ะ^^ ซึ่งในรายละเอียด หงีจะเล่าต่อไปใน Part ของ กองทุนรวม นะ
 
เอาล่ะค่ะ .. วันนี้ป้าจะขออนุญาติ เล่าให้ฟังแต่เพียงเท่านี้ก่อนเนื่องจากนั่งมานานก็ปวดหลังแล้ว '-_-!   แล้วคราวหน้า ป้าจะมาเล่าให้ฟังต่อถึงสินทรัพย์ทางการเงินอันต่อๆไปนะ ^^
 
ขอบคุณมากๆที่เข้ามาอ่าน ^^  ป้าหวังว่า จะได้ประโยชน์บ้างไม่มากก็น้อยนะคะ  ... ป้าอยากให้ทุกคนดำเนินชีวิตอยู่ในความไม่ประมาท และมีคุณภาพชีวิตที่มั่นคงค่ะ
 
God Bless You,
ngee


Sunday, August 14, 2016

มาวางแผนการเงินตัวเองกันเถอะ


สวัสดีข่า ดิฉันมารายงานตัวว่ายังคงมีชีวิตอยู่นาคะ ^^

เช่นเคยค่ะ  ก่อนอื่นก็ Disclaimer กันก่อนเลย ... ไม่ใช่กูรู  ไม่ใช่คนเก่ง  เพียงแต่เป็นคนที่ได้ไปเรียนรู้ หาข้อมูลอะไรที่น่าสนใจมา ก็จะมาเล่าให้ฟังนะคะ ^^

แล้ววันนี้สิ่งที่หงีอยากจะเล่าให้ฟัง คือเรื่อง “การวางแผนการเงินส่วนบุคคล”

โอ๊ววววว ... เรื่องอะไรเนี่ยนังหงี!!! ฟังดูเครียด ซีเรียสยิ่งนัก ... สายกลางมั้ย?  ตึงไปป่าว?

หึ ... no no no เลยค่ะ ... ถ้าคุณคิดว่า การอาบน้ำชำระล้างร่ายกายให้สะอาด และการเก็บกวาดบ้านให้เรียบร้อย เป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องทำฉันใด ... การวางแผนการเงินส่วนบุคคล ( แน่นอน ... ของตัวคุณเองนั่นหละ ) ก็สำคัญฉันนั้นค่ะ

ลองคิดดูนะคะ ... ถ้าคุณไม่อาบน้ำ  ไม่กี่วันคงไม่เป็นไรค่ะ (ถ้าคุณอยู่เมืองหนาว ... หึ)  แต่ถ้าซัก 2 อาทิตย์ล่ะ?  เป็นไง?  สกปรกเนาะ  โรคผิวหนังคงพาลถามหา กลากเกลื้อนเชื้อราบนหนังศรีษะคงจะมาเยือน ... ฉันใด ก็ฉันนั้นเลย ... ถ้าคุณคิดว่า  คุณสามารถใช้ชีวิตอยู่แบบนั้นได้ .. โอเค เชิญค่ะ  ข้ามโพสต์นี้ไปเถอะ

จริงๆต้องบอกเลยว่า การเอาเรื่องการวางแผนการเงินส่วนบุคคล มาเปรียบเทียบกับการรักษาความสะอาดของร่างกายและที่อยู่อาศัยนั้น นับว่าเป็นการเปรียบเทียบที่เบามาก เพราะการละเลยที่จะทำมัน  Downside ที่เกิดมันหนักหนากว่าแค่เป็นโรคผิวหนังกับบ้านเรือนสกปรกมากนักค่ะ

เอาล่ะค่ะ ... คำว่า “การวางแผนการเงินส่วนบุคคล” นั้น ฟังดู Scary ... แต่หงีขอบอกนะคะว่า  มันไม่เสียเวลาเลย ถ้าคุณจะจริงจังกับมันเสียตั้งแต่วันนี้

หงีจะขอเล่าเรื่องนึงให้ฟังค่ะ ... หงีมีเพื่อนคนนึง  ที่บ้านฐานะเรียกว่า ค่อนข้างร่ำรวยเลยค่ะ ... มีบ้านหลังใหญ่  คุณพ่อคุณแม่มีกิจการส่งออก  ขับรถยุโรป และมีไลฟ์สไตล์แบบคนค่อนข้างรวยเค้ามีกัน ... ชีวิตดำเนินไปค่ะ ทุกอย่างดูปกติสุขดี ... จนอยู่มาวันหนึ่ง ... ธุรกิจที่บ้านก็เริ่มมีปัญหา และในที่สุดต้องปิดกิจการลงไป

โชคยังเข้าข้างค่ะ ... คุณพ่อคุณแม่เก็บเงินไว้เยอะ .. สมัยนั้น นั่งนอนๆกินดอกเบี้ยจากธนาคารก็พอดำเนินชีวิตต่อไปได้  โดยไลฟ์สไตล์ปรับลงมาจาก คนค่อนข้างรวย เป็น คนฐานะปานกลาง ธรรมดา ... ฟังดูไม่แย่ใช่ไหมคะ?

ค่ะ ... จุดเปลี่ยนที่สำคัญอยู่ตรงนี้ ... วันที่ทุกอย่างเปลี่ยนไปตลอดกาล คือ วันที่เค้าพบว่า คุณพ่อของเค้าป่วยเป็น “โรคมะเร็ง” ... หงีเชื่อว่า ทุกคนทราบดีว่า  ค่ารักษาสำหรับโรคมะเร็ง มันมากมายแค่ไหน ... ว่ากันหลักล้าน หลักสิบล้านกันนู่นน่ะค่ะ

ใช่ค่ะ ... จากครอบครัวค่อนข้างรวย คิดว่าจะเหลือสมบัติไว้ไปจนถึงลูกหลาน ... สุดท้ายแล้ว ก็ไม่เหลืออะไรส่งต่อ ... แต่ก็ยังดีที่ตอนกิจการดี มีเงินสะสมมากพอที่จะมาจ่ายค่ารักษาพยาบาลคุณพ่อ และเหลือเงินไว้ให้ลูกๆได้เรียนกันจนจบปริญญาตรี

คุณเห็นอะไรจากเรื่องนี้คะ?  หงีเห็นหลายอย่างเชียวค่ะ ... ลองย้อนคิดนะ ... ตัดภาพกลับมาที่เรา ... ถ้าเราไม่ได้มีกิจการอย่างเค้า?  ไม่ได้มีเงินเก็บมากอย่างเค้า?  แล้วเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นกับเรา ... คุณพ่อเราเป็นมะเร็ง ... เราจะเอาเงินที่ไหนรักษาเค้า? ... แล้วถ้าเราเป็นคุณแม่ .. ถ้าลูกๆยังเล็กอยู่ ... มันจะเกิดเหตุการณ์ต้องตัดสินใจอย่างหนักหน่วงทันที คือ ต้องเลือกแล้ว ระหว่างรักษาชีวิตสามีให้ถึงที่สุด กับ เก็บเงินไว้ให้มากที่สุดเพื่อการศึกษาลูก

หงีไม่อยากเห็นเรื่องราวแบบนี้ ... ต้องเกิดขึ้นกับตัวเอง  หรือไม่ว่ากับใครก็ตาม ... นี่ยังไม่นับรวมตัวอย่างโหดๆที่เราเห็นกันทุกเมื่อเชื่อวันอย่าง “วงเวียนชีวิต” ... คุณตา คุณยาย อายุ 60 – 70 ทำงานไม่ไหว  ลูกเต้าไม่เหลียวแล  มีคุณภาพชีวิตที่แย่มาก  หลายครั้งต้องอดมื้อกินมื้อ ... เราอยากเป็นแบบนั้นไหม?  หงีคนนึงล่ะ ที่ไม่ ... และจะทำทุกทางเท่าที่ทำได้ ให้คนในครอบครัว และคนใกล้ตัวทุกๆคน จะไม่ต้องมีชีวิตแบบนั้น
ดังนั้น ... หงีคิดว่า คงเข้าใจแล้วนะคะว่า “การวางแผนการเงินส่วนบุคคล” นั้นสำคัญอย่างไร?

อ่ะเลิกเครียด ... กลับมาเรื่องสนุกสนานของเรา

ก่อนอื่น ... มาทำความเข้าใจกันก่อนเลยค่ะ ... ถ้าจะว่าด้วย “การเงินของเรา” แล้ว หลักๆ  ก็จะเริ่มจาก หามา èใช้ไป  เหลือก็  เก็บออม และ ลงทุน

1.     หามา

2.     ใช้ไป

3.     ออม ( รักษาเงินไว้ )

4.     ลงทุน (ทำให้เงินงอก)

หลักง่ายๆที่ใครๆก็ทราบคือ  ใช้  ให้น้อยกว่า หา ... คุณมาถูกทางแล้วค่ะ

แต่คำถามสำคัญคือ  ต้องหาเท่าไหร่?  และ ควรจะใช้เท่าไหร่?

แต่ละคนมีคำตอบของทั้ง 2 ข้อนั้น ไม่เท่ากันค่ะ  ขึ้นอยู่กับ “ความจำเป็น” และ “ข้อจำกัด” ของแต่ละบุคคล  เช่น  ง่ายๆเลยถ้าหงีตัวคนเดียวโดดๆ ไม่มีภาระต้องดูแลพ่อแม่ญาติพี่น้อง หรือ ลูก ... หงีมี “ความจำเป็น” ในการ “หา” และ การ “ใช้” เงิน ไม่เท่ากับ คนที่มีภาระต้องดูแลพ่อแม่ญาติพี่น้อง แน่นอน

อย่างไรก็ตามค่ะ .. ในความเป็นจริงแล้ว .. เราทุกคนมี “พ่อแม่” อย่างน้อยๆ คุณมีคนต้องดูแลแน่นอน ... ซึ่ง ความจำเป็น แบบนี้แหละ ที่จะมาเป็นโจทย์หลักสำคัญในการ “ตั้งเป้าหมาย” ของคุณ ... ในโลกนี้ มันไม่มีอะไรแน่นอนนะคะ .. การที่คุณทำงานหาเงินได้วันนี้ ใช่ว่า จะเป็นอย่างนี้เสมอไป ... เกิดวันนึงมีอุบัติเหติเกิดขึ้นกับคุณทำให้คุณไม่สามารถทำงานได้  หรือ คุณตกงานขึ้นมา ... แล้วคุณจะอยู่อย่างไร  ถ้าไม่มี “เงินเก็บ” .. นี่ยังไม่นับรวมว่า ถ้าคุณต้องดูแล “พ่อแม่” ด้วยนะคะ

นี่แหละค่ะ .. ก็เป็นที่มาของความสำคัญของ “การรักษาเงิน” ... ที่หงีใช้คำนี้  เพราะมันไม่ใช่แค่ “การออม”  แต่มันยังรวมถึง “การป้องกันความเสี่ยง” ไม่ให้ “เงินออม” หรือ เงินที่คุณหามานั้น หมดไปกับเรื่องไม่คาดฝัน ... ใช่ค่ะ  หงีกำลังพูดถึง “ประกัน”

ในสมัยก่อน .. “ประกัน” เป็นอะไรที่ถูกเข้าใจผิด และถูกต่อต้านมาก .. แต่หงีเชื่อว่า ปัจจุบัน คนรุ่นใหม่อย่างเราควรจะ “เป็นมิตร” กับประกันได้แล้วนะคะ

เมื่อมีเงินเหลือ ( หามา ใช้ไป )  คุณควรพิจารณานำมันไป

1.     เก็บออมไว้  เพื่อใช้ยามฉุกเฉิน หรือ เพื่อเป้าหมายบางอย่างในอนาคต

2.     ทำประกัน  เพื่อ “ปกป้องเงินออมของคุณไว้”  .. เหมือนตัวอย่างที่หงียกไว้ในตอนต้นนั่นหละค่ะ  แทนที่เงินออมที่ตั้งใจจะไว้ให้ลูกเรียน ไว้ตั้งต้นธุรกิจใหม่  เหลือไว้ให้ลูกให้หลาน ... ก็ต้องมาหมดไปเพราะโรคภัยไข้เจ็บ ... แบ่งไปซื้อไว้บ้างเถอะค่ะ  ประกันสุขภาพ น่ะ ( ในคราวหลัง หงีจะมาเล่าเรื่อง “ประกันสะสมทรัพย์” ซึ่งหงีคิดว่าก็จำเป็นด้วยเหมือนกันนะคะ) ... ตรงนี้  ถ้าคุณเป็นพนักงานออฟฟิศ  คุณมีประกันที่บริษัททำให้ ... ยังไง ไปขอรบกวนดูสิทธิประโยชน์จาก HR หน่อยนะคะ ว่า ครอบคลุมเรื่องอะไรบ้าง ... ถ้ายังไม่ได้ครอบคลุมเรื่อง อุบัติเหตุร้ายแรง และ โรคร้าย ... กรุณาเลยค่ะ ทำเพิ่มเถอะนะคะ  เดี๋ยวนี้มันไม่ได้แพงแล้ว .. และหงีบอกเลย มันคุ้มค่ะ .. มะเร็ง ไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไปแล้ว

มาถึงเงินส่วนสุดท้าย .. ที่ Advance กว่า “เงินออม” นั่นคือ “เงินลงทุน”
คือเอาจริงๆ ...คนรุ่นพ่อรุ่นแม่เรา  ส่วนมากท่านก็รู้จักแต่เงินออมเนี่ยแหละ ฝากแบงค์กินดอกเบี้ย ... แต่ในปัจจุบัน พวกเราได้รับการให้ข้อมูลมากขึ้นในเรื่องของ “เงินเฟ้อ” ทำให้เราเข้าใจว่า  ไอ้ข้าวกะเพราไก่ไข่ดาว จานละ 25 บาทเมื่อสมัยเรา 12 ขวบนั้น ปัจจุบัน ข้าวกะเพราไก่ไข่ดาว หน้าตาเหมือนกันเปี๊ยบ ป้าคนขายคนเดิมด้วย .. มันได้ถีบตัวเองขึ้นไปเป็นราคา 50 บาทแล้ว หรือขึ้นมา เท่าตัว ( 100%) เมื่อเวลาผ่านไป 20 ปี .. ซึ่งมันทำให้เรารู้ซึ้งเลยว่า  “เงินเฟ้อ” มันน่ากลัวอย่างไร ... คิดง่ายๆ  ถ้าคุณต้องการใช้ชีวิตใน “มาตรฐานชีวิต” เอาแค่ “เทียบเท่า” ปัจจุบันในอีก 20   ปีข้างหน้า .. นั่นหมายความว่า  ไม่ว่าปัจจุบันคุณจะใช้เงินต่อเดือนเท่าไหร่ ... คุณต้อง “เก็บเงิน” ไว้ เป็น 2 เท่าของจำนวนนั้น  เพื่อให้ในวันนั้นในอีก 20 ปีข้างหน้า คุณมีเงินใช้ในระดับมาตรฐานชีวิตเทียบเท่าวันนี้

คำว่า มาตรฐานชีวิต นั่นก็คือ วิถีชีวิตที่คุณใช้ๆอยู่ทุกวันเนี้ยะ  ... เช่น  กินข้าวมื้อละ 50 บาท 3 มื้อ  กินดีๆอาทิตย์ละครั้ง  ไปเที่ยวต่างจังหวัดบ้าง ต่างประเทศบ้าง  เป็นต้น ... ยิ่งคุณมี “มาตรฐานชีวิต” สูงเท่าไหร่ เช่น  ข้าวแต่ละมื้อที่คุณกินต้องเป็นร้านห้องแอร์ชื่อดังมื้อละไม่ต่ำกว่า 300 บาท  กินดีๆของคุณคือมื้อละ 10,000 บาท ต่างประเทศต้องไปอย่างบ่อย ... นั่นก็แปลว่า คุณก็ต้องหา และต้องใช้ รวมถึงต้องออม มากกว่าคนอื่นๆตามไปด้วย

อย่างไรก็ตามค่ะ ... ถ้าคุณรู้จัก “การลงทุน” ... มันก็จะช่วย แบ่งเบาภาระ “การออม” ทำให้คุณ ไม่ต้องออมมากเป็น 2 เท่า ก็ได้ ... เพราะถ้าหากคุณรู้จักเลือกแล้ว มันก็มีการลงทุนอยู่หลายประเภทค่ะ ที่ให้ผลตอบแทนชนะเงินเฟ้อได้  เช่น  หุ้นกู้,  หุ้น,  กองทุนรวม,  ทองคำ, อสังหาริมทรัพย์ เป็นต้น

ดังนั้น ... ถ้าคุณลองมองดูชีวิตของคุณให้ดี  .. ซึ่งหงีเชื่อว่า คนอ่านบทความของหงี น่าจะมีอายุ 30 up ( ถ้าต่อกว่านี้ ก็คงไม่เยอะหรอก หุหุหุ )  หงีว่า คุณเริ่มจริงจังกับชีวิตคุณได้แล้วนะคะ ... ในตอนอายุน้อยกว่านี้ หงีก็เป็นคนธรรมดาทั่วไปนี่แหละค่ะ  ที่พอใครพูดถึง “การวางแผนการเงิน” จะอุดหูทันที ( หึ ... ขนาดเรียนสายการเงิน ชอบการลงทุนนะ)  รู้สึกเป็นอะไรที่เครียด  ไกลตัว .. ไม่ต้องบริหารอะไรก็มีกินมีใช้ สุขสบายดี  อยากได้อะไรก็ได้ ... แต่เมื่อวันเวลาเปลี่ยนไป  เริ่ม “ฉลาดขึ้น” ละ .. ชีวิตมันไม่ได้ง่ายแบบนั้นน่ะค่ะ  ถ้าจะพูดกันตรงๆ ... ไอ้ที่ทำงานได้ มีกินมีใช้  มันใช่จะเป็นแบบนี้ไปตลอดกาล ... ป๊าม๊า ที่เค้ายังสุขภาพดีอยู่  ใช่จะดีแบบนี้ตลอดไป ... นี่ยังไม่ต้องคิดว่า ถ้าเกิดวันไหน หงีมีอันเป็นไป ประสบอุบัติเหตุ แล้วใครจะมาดูแลพวกเค้าต่อ ... หรือ ถ้าไม่เก็บเงินวันนี้  แก่ไปแล้ว ทำงานไม่ไหว  จะเอาเงินที่ไหนใช้?

เริ่มคิดซะวันนี้ .. หงีว่า มันยังไม่สายไปนะคะ ... แล้วครั้งหน้า หงีจะมาเล่าต่อเรื่อง “วิธีคิดเกี่ยวกับการลงทุน” ... สิ่งที่คุณต้องรู้ ต้องเข้าใจ ก่อนเอาเงินไปลงทุนกับอะไรใดๆก็ตาม โดยเฉพาะ “หุ้น”

ขอบคุณที่อ่านนะคะ ... หงีหวังว่า มันจะเป็นประโยชน์กับคุณค่ะ^^
 

Tuesday, July 19, 2016

The Body Book : Part1 : แนวคิดที่ดีเกี่ยวกับการดูแลร่างกาย

กราบสวัสดีค่ะทุกๆท่าน^^  Post นี้... จะเกี่ยวกับการ "ดูแลตัวเอง" โดยอิงจากหนังสือ "The Body Book" ของ Camaron Diaz นะคะ ^^

เท้าความกันก่อน ... ถ้าใครอ่าน Blog หงีก่อนหน้านี้อยู่แล้ว ก็จะทราบว่า หงีค่อนข้างจะใส่ใจสุขภาพ และดูแลตัวเอง  โดยที่เป็นคนไม่ได้อินกับเรื่อง "ความผอม" มากนัก ... ไม่ใช่ว่า ไม่เคยคิดว่า อยากผอมนะ .. เคยคิด  และเคยผ่านการเคร่งครัดกับตัวเองมากๆเรื่องการกินมาก่อน ... แต่เมื่อเวลาผ่านมาก็เรียนรู้ว่า เฮ้ย ... มันไม่ใช่แนวทางที่เรา "มีความสุขกับมัน"

หงีรักสวยรักงาม ตามปกติ เหมือนผู้หญิงทั่วๆไป... เอาจริงๆ  ผู้หญิงทุกคนก็อยากสวยค่ะ!! ขนาดผู้ชายยังอยากเลย!!!! .. สมัยเด็กๆ เคยมีแนวคิดประหลาดๆว่า  ยังไงชาตินี้ ขอสวยก่อนตาย สวยไว้ก่อน จะอายุสั้นลงนิดหน่อยไม่เป็นไร ... อืม บ้ามากนะ

แต่ตอนนี้ ... เรียนรู้แล้วค่ะ ... ความสวย แลกไม่ได้ซักนิดเลยกับ เวลาที่หงีควรจะมีเพื่อใช้กับคนที่หงีรัก ไม่ว่าจะเป็นครอบครัว เพื่อนฝูง คนที่ทำงานด้วยกัน ทุกๆคนรอบๆตัวหงี ... ต่อให้สวยกว่านี้อีกเท่าตัว แต่ต้องแลกกับเวลาในชีวิตแค่ 1 วัน  หงีก็ไม่ยอม

ดังนั้น .. หงีจึงให้ความสำคัญกับการดูแลร่างกายเพื่อให้ "มีชีวิตยืนยาว" โดย "มีชีวิตที่ดี" ร่างกายแข็งแรงไม่เจ็บป่วย สามารถทำทุกอย่างได้อย่างที่อยากจะทำอย่างเต็มประสิทธิภาพ  ไม่เป็นภาระใคร  ได้ใช้เวลาทำกิจกรรมร่วมกับทุกคนที่รักอย่างมีความสุขไปให้ได้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้

วันหนึ่ง หงีอ่านนิตยสาร Women's  Health แล้วพบบทสัมภาษณ์ของ Cameron Diaz ที่พูดถึงการดูแลตัวเอง ... แนวคิดของเธอค่อนข้างตรงกับหงี นั่นก็คือ ร่างกายของเราเป็นสิ่งที่มีค่าที่สุดที่เรามีได้ ดังนั้น การดูแลร่างกายให้ดีในวิธีที่ถูกต้องเป็นสิ่งที่เราควรจะทำ ... เธอพูดถึงการศึกษาเรื่อง "ร่างกาย" อย่างจริงจัง  เพื่อให้มีความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้อง  โดยเธอทำความเข้าใจลงลึกถึงในระดับ "เซลล์"  :)  ซึ่งเรื่อง "เซลล์" นี้ จะถูกพูดถึงอย่างละเอียดในหนังสือเล่มล่าสุดของเธอ ซึ่งเป็น "ภาคต่อ" ของหนังสือ "เล่มแรก"ที่ชื่อ The Body Book :) 

นั่นแหละ ... ที่มาล่ะ ... หงีไม่รอช้า รีบหาดูว่าที่ Kinokuniya มีไหม ... และขอบคุณพระเจ้า  มีค่ะ!!! โทรไปสั่งทันที และไปรับหนังสือมาอ่าน วันนั้นเลย!!!  ( หมายเหตุ :  เป็นคนชอบอ่านหนังสือเล่มจริง ไม่ชอบอ่าน e-book )

หงีได้อ่าน แล้วก็พบว่า เป็นหนังสือที่ดี  เพราะตัว Cameron Diaz เอง  ได้ทำการศึกษาเรื่องนี้อย่างจริงจังโดยพูดคุยปรึกษากับ นักวิทยาศาสตร์  นักโภชนาการ  ผู้เชี่ยวชาญด้านต่างๆเกี่ยวกับร่างกายและจิตใจของมนุษย์  แล้วนำมาปฏิบัติเป็นระยะเวลายาวนาน 15 ปีแล้ว!!! จึงถ่ายทอดมาเป็นหนังสือเล่มนี้ค่ะ

หนังสือเป็น Version ภาษาอังกฤษ ... ได้บอกกับเพื่อนๆหลายๆคนให้ลองซื้อมาอ่าน ... แต่ ... อุปสรรคที่สำคัญที่ทำให้พวกเค้าไม่อ่าน ก็คือ ไม่ได้ชอบอ่านหนังสือ .. เออ ไม่แปลกนะ เพราะหนังสือเล่มนี้  เขียนบรรยายค่อนข้างเยอะ  แลดูคล้าย Text Book '-_- เล่มโตทีเดียว ... ดังนั้น ... หงีเลยขออนุญาต  ถือโอกาสนี้ เล่าเรื่องราวที่หงีได้อ่านจากหนังสือ The Body Book ให้ฟังพร้อมๆกันเลย^^  เอ้าเริ่ม!!!

บทแรก .. จะเป็นบทที่ Cam อธิบายวิธีคิดของเธอที่เกี่ยวกับการดูแลสุขภาพให้ดีทั้งภายในและภายนอก  และซึ่งเป็นเหตุผลให้เธอเขียนหนังสือเล่มนี้ค่ะ ... หงีแปลมาทั้งบท เพราะหงีอ่านดูแล้วพบว่า  ไม่มีท่อนไหนที่ควรตัดออกเลย ...

The Body Book :  the law of hunger, the science of strength, and other ways to love your amazing body

" เพราะการให้ความรู้ตัวเองเกี่ยวกับ “ร่างกาย” เป็นหนึ่งในสิ่งที่สำคัญที่สุดที่คุณทำได้  เมื่อคุณอ่านหนังสือเล่มนี้ คุณจะได้เรียนรู้เกี่ยวกับโภชนาการ วิธีรับประทานอาหารให้ได้ประโยชน์และอร่อย!!! คุณจะได้เรียนรู้เกี่ยวกับการออกกำลังกาย และรู้ว่าการเคลื่อนไหวร่างกายนั้นส่งผลต่อคุณอย่างไร  คุณจะได้เรียนรู้เกี่ยวกับจิตใจ เพื่อที่คุณจะได้ มีสติรู้ตัวเอง และค้นพบวินัยของตัวเอง  เพราะ โภชนาการ การออกกำลังกาย จิตใจ และวินัย ไม่ควรเป็นเพียงแค่ “คำพูด” แต่เป็น “เครื่องมือ” เป็นแนวทางที่คุณจะใช้ดูแลตัวเองเพื่อจะเป็นคนที่แข็งแรงขึ้น  สมาร์ทขึ้น  มีความมั่นใจมากขึ้น และยอมรับตัวเองมากขึ้น

สำหรับ Subtitle ของชื่อหนังสือ Your Amazing Bodyฉันเชื่อแบบนั้นจริงๆ  ร่างกายของคุณนั้นมหัศจรรย์  ไม่ว่าคุณจะมีรูปร่างอย่างไร  ร่างกายของคุณคือ เครื่องจักรมหัศจรรย์ที่ทำสิ่งยอดเยี่ยมต่างๆได้มากมาย ตั้งแต่นำอากาศมาใช้เพื่อทำให้สมองทำงาน  เพื่อเปลี่ยนซีเรียลที่คุณรับประทานให้เป็นพลังงาน และใช้พลังงานนั้นเพื่อเดินไปขึ้นรถประจำทาง  และการรู้วิธีดูแลร่างกายตัวเอง เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดที่คุณเคยได้เรียน!!!

เพราะคุณเกิดมามีเพียง “ร่างเดียว” ร่างกายที่คุณใช้ตั้งแต่เกิดมาเป็นทารก และจะเป็น “ร่าง” ที่คุณจะต้องใช้ต่อไปเมื่อคุณอายุ 75 ปี แน่นอน ... ร่างกายของคุณค่อยๆเปลี่ยนแปลงและจะเปลี่ยนอย่างไม่หยุดหย่อน แต่ไม่ว่ามันจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร  มันก็ยังเป็น “ร่างกายของคุณ”   ไม่ว่ามันจะมีรูปร่างอย่างไร  ไม่ว่าคุณจะรักหรือเกลียดรูปร่างตัวเอง  ไม่ว่ามันจะรู้สึกเหนื่อยล้าหรือมีชีวิตชีวา ร่างกายของคุณ ก็คือ สิ่งที่มีค่าที่สุดที่คุณมี!!!

ร่างกายของคุณ คือ อดีต ปัจจุบัน และอนาคตของคุณ  มันเก็บความทรงจำของบรรพบุรุษของคุณ เพราะคุณถือกำเนิดขึ้นจากยีนส์ซึ่งส่งผ่านมาทางพ่อแม่ของคุณและพ่อแม่ของคุณก็ได้รับการส่งผ่านยีนส์นี้มาจากพ่อแม่ของพวกเขา  ร่างกายของคุณคือผลพวงของสิ่งที่คุณกิน  ผลพวงจากการออกหรือไม่ออกกำลังกาย และความพยายามทุกอย่างที่คุณได้ทำเพื่อที่จะเข้าใจและดูแลมัน  และการที่คุณดูแลร่างกายของคุณอย่างไรก็จะเป็นตัวกำหนดว่าคุณจะมีชีวิตที่ดีได้อย่างไร  ดังนั้น ไม่ว่าคุณจะอยากมีขาที่ยาวกว่านี้  สะโพกที่เล็กกว่านี้  หน้าอกที่ใหญ่กว่านี้  หนังสือเล่มนี้เหมาะสำหรับคุณ  มันเป็นเครื่องแนะแนวทางเพื่อให้คุณยอมรับในสิ่งที่คุณมีและ “รัก” มัน  เพื่อให้คุณชื่นชมยินดีว่าร่างกายนี้ดีอย่างไร  หนังสือนี้เป็นเครื่องแนะแนวทางในการเพิ่มความแข็งแรงและแข็งแกร่งของร่างกายเพื่อให้มันได้พาคุณไปในทุกๆที่ที่คุณอย่ากจะไป เพื่อให้มันได้ทำให้คุณประสบความสำเร็จ  เพื่อให้คุณได้ใช้ชีวิตกับคนที่คุณรัก  เพื่อให้คุณได้ทำในสิ่งที่รักและการผจญภัยต่างๆ   ดังนั้น  เพื่อให้คุณได้ไปถึงจุดมุ่งหมายต่างๆที่คุณมี  คุณจึงต้องดูแลร่างกายให้แข็งแรง ให้มีประสิทธิภาพมากที่สุดเท่าที่คุณจะทำได้  คุณจึงต้องเรียนรู้ที่จะ “อยู่อย่างมีคุณภาพ” ใน “ร่างกายที่สวยงามเป็นเอกลักษณ์” ของคุณ

แน่นอน คุณจะทำไม่ได้หรอก ถ้าคุณ “ไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไร”  โชคไม่ดีที่การเป็นผู้หญิงนั้น มักทำให้เราได้รับแรงกดดันต่างๆอยู่เรื่อยๆ เช่น  ต้องสวยขึ้น เซ็กซี่ขึ้น ผอมลง  ดูเด็กลง ฯลฯ  การเกิดเป็นผู้หญิงในสมัยนี้ เราได้รับแนวคิดที่ทำให้เราต้องเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่นๆอยู่เสมอ เมื่อแท้ที่จริงแล้ว สิ่งที่เราควรทำคือ โฟกัสกับความแข็งแรงของตัวเอง  ความสามารถของตัวเอง และ ความสวยงามในแบบของเราเอง

นี่คือเหตุผลที่ฉันเขียนหนังสือเล่มนี้  เพื่อให้เราได้เรียนรู้ไปด้วยกันเรื่อง “วิทยาศาสตร์ที่ถูกต้อง” ในเรื่องต่างๆที่เกี่ยวข้องกับ “ร่างกายของเรา” แทนที่จะรับเอาข้อมูลที่ผิดๆต่างๆรอบตัวเรา  ฉันไม่ใช่นักวิทยาศาสตร์  ฉันไม่ใช่หมอ  ฉันเป็นเพียงผู้หญิงคนหนึ่งที่ใช้เวลา 15 ปีในการเรียนรู้เกี่ยวกับร่างกายตัวเอง และปฏิบัติตามที่ได้เรียนรู้มา ซึ่งเป็นประสบการณ์ที่คุ้มค่าที่สุดในชีวิตของฉัน  ทุกสิ่งที่ฉันมี และทุกสิ่งที่ฉันเป็น ล้วนเกี่ยวข้องกับความรู้ในเรื่องร่างกายของฉัน  และฉันก็อยากให้คุณได้รับในสิ่งเดียวกัน  ฉันอยากให้คุณได้รู้จักตัวเอง  พลังของตัวเอง  และฉันอยากให้คุณได้เป็นคนหนึ่งซึ่งมีพลังมากมาย  มีความสามารถมากมาย และเป็นผู้หญิงที่มีความมั่นใจในแบบที่คุณสามารถจะเป็นได้  ฉันอยากให้คุณได้รู้ว่า มันรู้สึกอย่างไรที่คุณมีความสัมพันธ์ที่ดีกับร่างกายตัวเอง  รู้สึกเชื่อมโยงถึงมัน  ฉันอยากให้คุณได้รู้จักกับความสุขที่แท้จริงในการใช้ชีวิตใน “ร่างกายของตัวเอง” ซึ่งเป็น “ร่างกายของคุณคนเดียว”!!!  ให้คุณได้รู้ว่าการดูแลตัวเองโดยการรับประทานอาหารที่ดี  ออกกำลังกาย  และใส่ใจในสุขภาพของตัวเองจริงๆ นั้นมันรู้สึกดีอย่างไร  เพราะเมื่อคุณได้มีความรู้ และใช้ชีวิตในร่างกายที่คุณตั้งใจดูแลเป็นอย่างดีแล้ว คุณจะพบว่าคุณมีพลังอย่างล้นเหลือ และคุณสามารถที่จะเห็น และได้สัมผัสกับโลกใบนี้แบบที่ไม่เคยมาก่อน 

เพราะฉันต้องการให้ทั้งหมดนี้กับคุณ  ฉันได้พูดคุยกับผู้เชี่ยวชาญด้านยา  โภชนาการ  การออกกำลังกาย  นักวิทยาศาสตร์  ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพ และนักจิตวิทยา  ผู้คนซึ่งได้ทุ่มเทชีวิตและอาชีพของพวกเขาเพื่อทำความเข้าใจเกี่ยวกับร่างกายและจิตใจ  ว่ามนุษย์คนหนึ่งต้องทำอย่างไรเพื่อที่จะมี สุขภาพกาย และ สุขภาพจิต ที่ดีที่สุดเท่าที่มนุษย์คนหนึ่งจะมีได้  ฉันนำความรู้ที่ได้จากการพูดคุยกับพวกเขามาปฏิบัติ  เพื่อให้ “ตัวเอง” ได้เป็น “ตัวอย่างของผลลัพธ์จากการปฏิบัติตามคำแนะนำเหล่านั้น” เพื่อคุณจะได้เห็น และรับประโยชน์จากมัน

เมื่อคุณอ่านหนังสือเล่มนี้จบ  เมื่อคุณได้รวบรวมข้อมูลทั้งหมด  เมื่อมันอยู่ภายในตัวคุณจริงๆ  ในร่างกายคุณจริงๆ  ในนิสัยของคุณจริงๆ  คุณจะไม่ต้อง “คิด” อีกต่อไป  มันจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของคุณ  มันจะกลายเป็น “ตัวคุณ”  และเมื่อมันเกิดขึ้น  พลังงานทั้งหมดของคุณจะกลายเป็น “พลังงานบวก” ที่ทำให้คุณทำสิ่งต่างๆได้สำเร็จ  คุณจะเป็นตัวของตัวเอง  และได้สร้างสรรค์สิ่งต่างๆขึ้น  แทนที่จะมานั่งกังวลว่า คุณดูเป็นอย่างไร?  คุณรู้สึกเหนื่อยไหม?  ทำไมน้ำหนักไม่ยอมลดซักที?!!  

แน่นอนว่า การเปลี่ยนแปลงนั้น ไม่สามารถทำได้ภายในวันเดียว หรือโดยแค่อ่าน หรือแค่หวัง  ความจริงก็คือ  ไม่มี “ทางลัด” หรือ “ยาวิเศษ” ที่จะช่วยให้ร่างกายของคุณมีสุขภาพที่ดี  เป็นคนที่มีความสุขได้ในชั่วข้ามคืน  การเป็นคนสุขภาพดีนั้นไม่ได้หมายความว่า แค่คุณ “เรียนรู้” ก็เพียงพอ  คุณต้อง “ปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอ” ด้วย!!!  คุณจำเป็นต้องเข้าใจมันจริงๆ เพื่อที่จะได้นำไปใช้ได้ในทุกๆวันของชีวิต

หนังสือนี้ไม่ใช่ “หนังสือสำหรับการลดหน้ำหนัก”  ไม่ใช่ “หนังสือเพื่อการเปลี่ยนเป็นคนอื่น”  แต่เป็นหนังสือที่จะแนะแนวทางให้คุณเป็น “ตัวเอง”  เพราะเมื่อคุณรู้เกี่ยวกับ “ร่างกาย” ตัวเองมากขึ้น  สิ่งที่มหัศจรรย์จะเริ่มเกิดกับคุณ  คุณจะเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงทั้งภายในและภายนอก  คุณจะเริ่มเห็นว่าการเป็นคนสุขภาพดีนั้นนำความสุขมาให้ได้อย่างไร  มันดีแค่ไหนที่รู้สึกว่า คุณเป็นคนแข็งแรงและสามารถทำสิ่งต่างๆได้  ความรู้สึกดีจากภายในจะส่งผลต่อทุกๆอย่างในชีวิตของคุณ  คุณจะเป็นคนที่สวยที่สุดเท่าที่คุณจะเป็นได้  เป็นผู้หญิงที่สุขภาพดี และมั่นใจในตัวเอง  และคุณสมควรได้รับมัน!!! เพราะคุณ “สวยกว่าที่คุณเคยคิด”
---  ค่ะ ... สิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตคุณ คือ ร่างกายของคุณ ... จะมีประโยชน์อะไร ถ้าคุณมีหน้าตาที่สวยที่สุดในโลก แต่คุณกำลังเป็นมะเร็ง และคุณต้องจากคนที่คุณรักไปอย่างทรมานภายในเวลาอีกไม่กี่เดือน ... จะมีประโยชน์อะไรถ้าคุณมีเงินทั้งโลก  แต่ต้องจากไปโดยยังไม่ทันได้ใช้มันเพื่อคนที่คุณรัก ... และจะมีประโยชน์อะไรถ้าคุณมีทั้งเงินทั้งเวลา  แต่เป็นเจ้าหญิงหรือเจ้าชายนิทรา ไม่สามารถลุกขึ้นมาทำอะไรต่างๆที่คุณอยากจะทำได้
Post ต่อๆจากนี้ไปอีกซัก 4-5 โพสต์  หงีจะเล่าสิ่งที่ได้จาก The Body Book นะคะ^^  ตอนต่อไป ก็จะเป็นเรื่อง "อาหาร" แล้ว^^  หงีอ่านจบแล้ว  หงีบอกได้เลยว่า มันสำคัญมากๆ  และจากตอนนี้เอง  หงีได้ปรับการกินมากินตามกรุ๊ปเลือด  แล้วมันก็ได้ผลดีซะด้วย!!! 
แล้วจะมาเล่าให้ฟังนะ muah!!!
God Bless You!