สวัสดีค่า
กลับมาพบกันอีกล๊าววววว ... ทิ้งห่างจากโพสต์ก่อนหน้าไปราวๆเดือนนึง คิดว่า คงไมได้นานเกินไปเนอะ ^^ หุหุ เช่นเคยค่ะ
ขอออกตัวก่อนเลยสำหรับ Topic ในวันนี้ว่า
ไม่ได้เป็นกูรู
ไม่ได้มีประสบการณ์การทำธุรกิจมาอย่างโชกโขน ไม่ได้เป็นคนเก่ง อะไรใดๆทั้งสิ้น ...
เพียงแต่เป็นคนที่อยากจะเขียน อยากจะเล่า อยากจะแชร์มุมมอง เพื่อเป็นประโยชน์แก่คนอ่านบ้าง ไม่มากก็น้อย
... และแน่นอน Welcome ทุกๆคำแนะนำ
และจะขอบพระคุณมากๆถ้าจะมาเปิดความรู้ใหม่ๆให้กันค่ะ^^
ทำธุรกิจ... เงินไม่พอ ขอที่ใคร? .. หงีเชื่อว่า คำถามนี้เนี่ย
เป็นคำถาม Super Classic .. คนทำธุรกิจทุกคนอยากจะรู้
อยากจะหาทางออกสวยๆให้กับ Challenge นี้ ... ถึงตรงนี้ก็ ขออนุญาต
ขอบคุณน้องชายที่น่ารักของหงีคนนึง
น้องเป็นคนทำธุรกิจเก่งค่ะ เป็น CEO
ตั้งแต่อายุยังน้อย
แล้วบริษัทเค้าก็ดำเนินกิจการไปได้อย่างดีเสียด้วย ดังนั้น กิจการใดๆที่เติบโตเร็วๆมากๆ หลายๆครั้งก็มักจะมี Challenge เรื่องนี้ค่ะ
คือ อยากได้เงินมาขยาย เพราะเห็นโอกาส
และเพื่อรองรับตลาดที่เติบโตอย่างรวดเร็ว
ดังนั้น ก็จะมาเจอคำถามเดียวกัน คือ เงินไม่พอ ขอที่ใคร? J
... ที่ขอบคุณเค้า ก็เพราะน้องเค้ามาถาม เราแลกเปลี่ยนความรู้
ความคิดเห็นกัน
แล้วก็ทำให้หงีได้มานั่งลงพิจารณาเรื่องนี้จริงๆจังๆ เพราะปัจจุบันธุรกิจเราก็พบ Challenge นี้เช่นเดียวกัน
ไอ้เรื่องเงินไม่พอเนี่ย ... ถ้าเราดูตามหลักทางการเงิน มันก็คือเรื่องของ Source of Fund หรือ
แหล่งเงินทุน ... ซึ่งกว้างๆแล้ว ก็สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท คือ
เงินกู้ กับ เงินของผู้ถือหุ้น ( หรือ ผู้ร่วมทุน หรือ หุ้นส่วน ตามแต่คุณจะเรียกค่ะ ) จริงๆหลักเบสิคง่ายๆ
มีแค่นี้เองนะ ... เลือกเอาตามชอบ
อยากเป็นหนี้ หรือ อยากหาคนมาร่วมหัวจมท้ายด้วย ซึ่งแต่ละแบบ ก็มีข้อดีข้อเสียแตกต่างกัน
การเป็นหนี้ .. คือ การกู้หนี้ยืมสิน
ความหมายตรงๆซื่อๆ แบบนั้นเลย ... สำหรับข้อนี้ หงีว่า มันก็มีหลักๆ อยู่ 2
แบบ
คือ กู้ธนาคาร กับ กู้คนรู้จัก J …. การกู้ธนาคาร ถ้าเอาตามหลักทั่วๆไป ว่ากันซื่อๆ คือ คุณต้องมีหลักประกัน ( คือ เงินฝาก
พันธบัตรรัฐบาล หุ้นกู้ อสังหาริมทรัพย์ เป็นต้น)
หรือ ผู้ค้ำประกัน เพื่อนำไปขอกู้หนี้ยืมสินเค้า ... เพราะ
ไม่มีใครให้เงินคุณมาฟรีๆ โดยไม่รู้จักกันหรอกค่ะ!!!! เจ้าหนี้ เค้าก็ต้องการที่จะมั่นใจว่า
เงินก้อนนี้ที่เค้าให้คุณยืมไปนั้นเนี่ย
มันต้องได้คืน!!!! ถ้าคุณไม่มีคืน ...
มันก็ต้องมีคนมาคืนแทนคุณ!!!!
ดังนั้น ... การกู้หนี้ในแบบที่ 2 คือ
กู้คนรู้จัก จึงตามมาเป็น Option สำหรับคนทำธุรกิจตัวเล็กๆ ที่ไมได้มีหลักประกัน (
เงินฝาก พันธบัตร หุ้นกู้ อสังหาฯ ) ... มาถึงตรงนี้ ลองคิดดูดีๆนะ ... ถ้าหาก
กู้ธนาคาร แล้วเค้าต้องการ
“ผู้ค้ำประกัน” ซึ่ง โดยกฎหมายแล้ว
เค้าคือคนที่ต้องมาใช้หนี้แทนเราในอนาคตหากเราไม่สามารถชำระหนี้ที่กู้ยืมมาจากธนาคารได้
... ดังนั้น ถ้าเค้าคือคนๆนั้น แทนที่จะให้ธนาคารกินดอกเบี้ยจากเราไป ถ้าเค้าสามารถ
... เค้าให้เรากู้เองไม่ดีกว่าเรอะ!!!! ... นั่นล่ะ การกู้คนรู้จัก จึงเป็น Option
ที่หงีเชื่อว่า ถูกใช้มากที่สุด ( หากคุณไม่ได้มี Connection
ใดๆกับเจ้าของธนาคาร
หรือ คนทำงานธนาคารที่มีอำนาจตัดสินใจ J) สำหรับคนทำธุรกิจ
“ตัวเล็กๆ” แบบเรา
ไหนๆก็พูดถึงประเด็นนี้แล้ว ...หงีก็ลองคิดสนุกๆนะ ถึง เคสที่มีลูกหลานคนรวยทำธุรกิจ
แล้วกู้ยืมเงินธนาคารมาทำธุรกิจ แทนที่จะใช้เงินถุงเงินถังของที่บ้าน ...
มันมีประเด็นน่าสนใจตรงนี้ไง คือ
โดยหลักการแล้ว ใครๆก็ทราบค่ะ ว่า การใช้เงินคนอื่น ( Other People’s Money ) คือ
วิธีที่ชาญฉลาดที่สุดในการทำธุรกิจ เพราะ “ดูเหมือน”
คุณแทบจะไม่ต้องเอาเงินตัวเองมาเสี่ยงเลย
ถ้าเจ๊ง ก็เจ๊งๆไป ไม่เจ็บตัว (แต่ชื่อเสียงคุณเสียเลยนะ ...
แต่บางคนก็ไม่แคร์ J) ...
แต่ในความเป็นจริงแล้ว .. ลองคิดดูนะ ... คุณคิดว่า มนุษย์ โง่มั้ย? มีใครโง่กว่าใครงั้นเหรอ? หรือ ธนาคารเค้าโง่กว่าคนทำธุรกิจหรอ? ... หงีว่า ไม่นะ ...
การที่คุณจะใช้เงินเค้า แน่นอน เค้า (
ในที่นี้ อาจจะเป็นเจ้าของธนาคาร หรือ คนที่มีอำนาจตัดสินใจที่ทำงานอยู่ในธนาคาร ... อันนี้ไม่ทราบได้ เพียงแต่เดา J) ต้อง “ได้”
อะไรบางอย่าง ... และแน่นอน “เค้า” ต้องมั่นใจ ( หรือทำให้เจ้าของเงินมั่นใจ )
ได้ค่ะว่า “ลูกหนี้”
จะมีความสามารถในการชดใช้หนี้ที่ให้กู้ยืมไป
และผลตอบแทน “โดยรวม” ที่ได้กลับมาจากการให้กู้นั้น มันคุ้มค่า J
... การทำธุรกิจใดๆ ในเรื่องของ “ผลตอบแทน” หรือ “สิ่งที่ได้กลับมา”
แล้ว .. หงีว่า การมองแต่เฉพาะ “ตัวเงิน”
ที่ได้กลับมาจากการทำ “ธุรกรรม” หรือ “ธุรกิจ” นั้นๆ มันตื้นเขินเกินไป ...
หลายๆที เราทำธุรกิจ ไม่ได้ได้กลับมาแต่เพียงตัวเงิน แต่มันได้ความอิ่มใจ
ความสุขใจ หรือ คอนเนคชั่น หรือ สิทธิพิเศษใดๆ อันไม่ได้เป็น
“ผลตอบแทนที่เป็นตัวเงินทางตรง” ... ฉันใด ก็ฉันนั้น .. #ถามใจเธอดู
ดังนั้น .. ถ้าจะว่ากันในเรื่องของ “การเป็นหนี้” แล้ว ...
สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ “Credit” หรือ “ความน่าเชื่อถือของผู้กู้ยืม” ..
ไม่ว่าจะในกรณีใดค่ะ จะกู้ธนาคาร หรือ
กู้คนรู้จัก ... ทั้งหมดทั้งมวล One Important Question ที่เค้าต้องการจะมั่นใจคือ คุณสามารถใช้เงินคืนเค้าได้ โดยอัตราดอกเบี้ย หรือ
ผลตอบแทนที่ต้องการนั้น ขึ้นอยู่กับว่า
คุณกู้ยืมใคร J
ยืมพ่อแม่ .. สบายไป ยาวๆเลย
ไม่จ่ายดอกยังได้ .. ยืมคนอื่น
อันนี้ก็ขึ้นกะว่า เค้าใจดี หน้าเลือดแค่ไหน ... เป็นเคสๆไป
อย่างไรก็ตาม ... ข้อดีของการเป็นหนี้ที่หงีเห็น คือ การที่ไม่ต้องมา
“ปวดหัว” ให้ “เจ้าหนี้” มาร่วมตัดสินใจในการดำเนินธุรกิจ เหมือนอย่างกรณี
“ใช้เงินผู้ถือหุ้น” ... ติดหนี้ ก็จ่ายดอก ถึงเวลา ก็คืนเงินต้นไป
แต่กรณี “ใช้เงินผู้ถือหุ้น” ล่ะก็ ... ความสนุกมันอยู่ตรงนี้ J … ถามกันตรงๆ
เว้ากันซื่อๆ .. มีใครในโลกนี้บ้าง
เอาเงินใส่ลงไปในธุรกิจแล้ว จะไม่อยากยินดียินร้าย เค้าจะเอาเงินเราไปทำอะไรก็เรื่องของเค้า
ตามสบายเล้ยยย มีอีกเยอะ ... หึ ...
คงน้อยมากอ่ะนะคะ หรือไม่ คนแบบนี้
เงินก็น่าจะหมดได้ในไม่ช้า ... ดังนั้น
เป็นธรรมชาติค่ะ การหาผู้ถือหุ้น
หรือ พาร์ทเนอร์ หรือ หุ้นส่วน
มาร่วมหัวจมท้าย เอาเงินมาทำธุรกิจด้วยกัน ... แน่นอน เค้าก็ตอ้งอยากรู้ อยากตัดสินใจในการดำเนินธุรกิจแน่ ...
คุณเอาเงินเค้าไปทำอะไร
เค้าก็ต้องรู้ใช่ไหม? เช่น
ถ้าเค้าเอาเงินมาใส่ 30 ล้าน
แล้วคุณเอาเงินบางส่วนไปซื้อรถยนต์คันหรู ( อุ๊ย .. ไม่ได้ว่าใครนะคะ ยกตัวอย่างเฉยๆ ) เค้าก็อยากจะมีส่วนในการตัดสินใจว่า
ให้หรือไม่ให้ไหม? หรือแม้กระทั่ง คุณเอาเงินเค้ามา แต่ดันไปเลือกทำกิจกรรมการตลาดบ้าๆบอๆ
เผาเงินไปเป็น 10 ล้าน โดยหา Return ไม่ได้ ... เค้าก็อยากจะร่วมตัดสินใจ Say
yes หรือ
no ไหม? ... ฉันใดก็ ฉันนั้น #ถามใจเธอดู
( แฮ่!!!
วันนี้เล่นมุขนี้บ่อยนะ )
อย่างไรก็ตาม ... การหา “ผู้ร่วมทุน” ก็ยังเป็น Option ที่คนจำนวนมากสนใจ เพราะดูเผินๆแล้ว เหมือนไม่เครียด แต่ละเดือน หรือ แต่ละ Period ไม่ต้องมานั่งเครียดว่า
จะมีเงินจ่ายดอกเค้าไหม เค้าจะได้ไม่มายืดนู่นนี่ หรืออะไรก็แล้วแต่ ...
แต่หงีคิดว่า อย่ามองอะไรตื้นเขินเกินไป
และอย่ามองแต่ Win ของตัวเอง .. คุณต้องนึกถึง Win ของเจ้าของเงินด้วย
ดังนั้น ... การหาผู้ร่วมทุน ... หงีคิดว่า จำเป็นเหลือเกินค่ะ
ที่คุณควรจะศึกษานิสัยใจคอการทำธุรกิจ วิธีคิด และสิ่งที่เค้าต้องการให้ดี ...
เค้าต้องการอะไร? ไม่ใช่แค่ ผลตอบแทน
แต่อาจจะเป็นอำนาจการตัดสินใจในการดำเนินธุรกิจ หรือ ความรู้ในการดำเนินธุรกิจ
หรือ อะไรก็แล้วแต่ ...
คุณควรจะคิดให้ดีว่า สิ่งเหล่านั้น
คุณ “ให้” เค้าได้ไหม เพื่อเป็นการ “แลกเปลี่ยน” กับ “เงินทุน”
ที่คุณต้องการจะได้มา ... นอกจากนั้นแล้ว ... Type ของเค้า วิธีคิด วิธีการดำเนินธุรกิจ
การตัดสินใจต่างๆ มันเข้ากันได้ไหม? เหมือนคุณจะพาใครเข้าบ้าน ..
คุณต้องรู้ก่อนนะว่า นี่โจร หรือ คนดี ... จะแต่งงานกับใครต้องรู้นะ เค้าเป็นคนยังไง ชอบบ้านสะอาดบ้านรก มีไลฟ์สไตล์แบบไหน อะไรต่างๆ ...
เพราะพอมาร่วมหอลงโรง ร่วมหัวจมท้ายกันแล้ว มันคือ Long Term Relationship แบบมีรายละเอียดร่วมกันหลายอย่างนะคุณ ... เช่น ถ้าหากคุณเป็นคนใช้ Sense มาก แล้ว “ไม่ค่อยฟังใคร” เฮ้ย คุณต้องรู้ตัวนะ ...
ถ้าคุณดันลือกผู้ร่วมทุนแบบ มีเหตุผลมากม๊ากกกกกกกก มาอยู่ด้วยกัน
อาจจะตีกันตายได้ เช่น ถ้า Sense คุณบอกว่า Go … แต่พี่แกคิดสรตะ
28 ตลบแล้วพบว่า No … เอาเลยคุณ
เถียงกันบ้านแตก สุดท้ายไม่ได้ทำอะไรซักอย่าง งานไม่เดิน เงินไม่มี ไม่มีใครมีความสุข ธุรกิจพัง ... Oh no…. So sad ค่ะ i_i
ท้ายที่สุดแล้ว ... หงีคิดว่า
เรื่องการหาเงินจากที่ไหนนี้ หัวใจสำคัญของมัน ก็กลับมาที่ “รากฐาน”
ดั้งเดิมของเรื่อง “ความสัมพันธ์” คือเรื่อง Trust นะ ...
ทั้งในกรณี “กู้” และ “หาผู้ร่วมทุน”
ทั้งหมดทั้งมวล มันคือ Trust เลย ... ไม่ว่า “เจ้าหนี้” หรือ “ผู้ร่วมทุน”
ต้องการอย่างเดียว คือ ความมั่นใจ .. ซึ่งการที่เค้าจะมั่นใจได้ มันก็คือ เค้า
“เชื่อใจ” คุณได้แค่ไหน
ซึ่งรากของมันก็มาจาก Character หรือ ความเป็นคุณ นั่นแหละ ... ในทางกลับกัน คุณเอง จะเลือก “กู้” หรือ “เอาใครมาร่วมบ้าน”
คุณก็ต้อง “เชื่อใจ” เค้าใช่ไหม? ...
คุณคงต้องเชื่อใจและมั่นใจแหละว่า สัญญากู้ นั้นเป็นธรรม ... คนที่เอามาร่วมบ้าน
ต้องไม่ใช่โจร ... ทั้งหมดทั้งมวล หงีว่า
มันเรียบง่ายมากๆจริงๆ
ประโยชน์อะไร ในการนั่งคิดวิธีการซับซ้อนวุ่นวาย เมื่อสุดท้ายแล้ว ต่างฝ่ายต้องการอะไร
มันก็แสนจะ Simple … ไม่ได้ซับซ้อนขนาดนั้น ..
ประโยชน์อะไรที่จะวิ่งหาที่ปรึกษาทางการเงินให้คิด Structure ซับซ้อน
กู้อันนี่ ในแบบนั้น เรียกมันรูปแบบ Hybrid หรือ
อะไรวุ่นวาย ... สุดท้าย คุณแค่ควรจะตอบคำถามง่ายๆ .. เค้าให้เงินคุณ แล้วเค้าได้อะไร?
แล้วเค้ามั่นใจได้ไหมว่าเค้าจะได้อะไรที่เค้าต้องการ
สุดท้ายนี้ ... หงีอยากจะพูดถึงเคสที่หงีสะเทือนใจ ... หงีคิดว่า
หลายครั้ง เราเลือกตัดสินใจทำอะไรลงไป
โดยไมได้คิดถึงผลที่ตามมาให้ถี่ถ้วน ... มีบางเคส
คิดว่า การ Deal เพื่อให้ได้มาซึ่ง
“เงินทุน” โดยไม่ได้สนใจ “สัญญา” (
ไม่ว่าจะสัญญากู้ หรือ สัญญาร่วมลงทุน นะคะ) และไม่ได้มี Commitment ที่จะ Deliver
ให้ได้ตามนั้น เพราะ “ไม่แคร์” .... หงีคิดว่า
นี่เป็นอะไรที่น่าเห็นใจ และตื้นเขิน ... มนุษย์เรา Character และ Credibility
( ความน่าเชื่อถือ)
นั้นสำคัญ ... เมื่อคุณตัดสินใจผิด “ผิดสัญญา”
แม้ตามกฎหมาย หลายๆครั้ง “กฎหมายแพ่ง” ไม่สามารถ “บังคับชำระ”
ตามสัญญาได้ คุณอาจเบี้ยว
ไม่จ่ายตามสัญญานั้น ... แต่สิ่งที่มันจะติดตัวคุณไป และส่งผลเสียอย่างประเมินค่าไม่ได้คือ
“คุณเสียความน่าเชื่อถือไปแล้ว” ... โดยสิ่งที่สำคัญ ที่คุณจะลืมไมได้คือ “โลกมันกลม” ... วงการธุรกิจมันเชื่อมโยงกันหมด
ไม่ว่าจะธุรกิจไหนๆ ... และการสูญเสียความน่าเชื่อถือไป มันคือ การสูญเสียอะไรหลายๆอย่าง ..
ใครจะอยากให้คุณกู้?
ใครจะอยากร่วมทุนกับคุณ?
ใครจะอยากทำธุรกิจกับคุณ? และมันสะท้อนถึง
Mindset ของคุณในการทำธุรกิจแบบ “ตีหัวเข้าบ้าน” สุดท้ายแล้ว Sustainable Business / Growth จะมาถึงได้อย่างไร?
หงีอยากฝากสิ่งนี้ไว้ให้พิจารณานะคะ ... เพราะหลายๆเรื่อง ...
มันเรียบง่าย ไม่ได้มีอะไรซับซ้อน ทุกอย่างมันก็กลับมาที่เรื่องของ “คน” ทั้งสิ้น
สุดท้ายนี้ (จริงๆละ 555+) อย่างที่ทุกคนที่อ่าน
Blog ของหงีทราบ ... หงีจะเขียน
ก็ต่อเมื่อมีเรื่องที่มีประโยชน์อยากจะแชร์
แต่ที่สำคัญคือ หงีจะเขียน
ก็ต่อเมื่อมีความรู้สึกอยากจะเขียน และเวลาหงีเขียน
ทุกอย่างมันไหลออกมาแบบรวดเดียวจบ ... หงีเชื่อว่า ทั้งหมดนี้ มาจากพระเจ้า ...
ขอขอบพระคุณพระเจ้าค่ะ สำหรับสติปัญญา และการบรรยายนี้ที่มาจากพระองค์ทั้งสิ้น
Happy Sunday … God Bless You
No comments:
Post a Comment