Tuesday, July 19, 2016

The Body Book : Part1 : แนวคิดที่ดีเกี่ยวกับการดูแลร่างกาย

กราบสวัสดีค่ะทุกๆท่าน^^  Post นี้... จะเกี่ยวกับการ "ดูแลตัวเอง" โดยอิงจากหนังสือ "The Body Book" ของ Camaron Diaz นะคะ ^^

เท้าความกันก่อน ... ถ้าใครอ่าน Blog หงีก่อนหน้านี้อยู่แล้ว ก็จะทราบว่า หงีค่อนข้างจะใส่ใจสุขภาพ และดูแลตัวเอง  โดยที่เป็นคนไม่ได้อินกับเรื่อง "ความผอม" มากนัก ... ไม่ใช่ว่า ไม่เคยคิดว่า อยากผอมนะ .. เคยคิด  และเคยผ่านการเคร่งครัดกับตัวเองมากๆเรื่องการกินมาก่อน ... แต่เมื่อเวลาผ่านมาก็เรียนรู้ว่า เฮ้ย ... มันไม่ใช่แนวทางที่เรา "มีความสุขกับมัน"

หงีรักสวยรักงาม ตามปกติ เหมือนผู้หญิงทั่วๆไป... เอาจริงๆ  ผู้หญิงทุกคนก็อยากสวยค่ะ!! ขนาดผู้ชายยังอยากเลย!!!! .. สมัยเด็กๆ เคยมีแนวคิดประหลาดๆว่า  ยังไงชาตินี้ ขอสวยก่อนตาย สวยไว้ก่อน จะอายุสั้นลงนิดหน่อยไม่เป็นไร ... อืม บ้ามากนะ

แต่ตอนนี้ ... เรียนรู้แล้วค่ะ ... ความสวย แลกไม่ได้ซักนิดเลยกับ เวลาที่หงีควรจะมีเพื่อใช้กับคนที่หงีรัก ไม่ว่าจะเป็นครอบครัว เพื่อนฝูง คนที่ทำงานด้วยกัน ทุกๆคนรอบๆตัวหงี ... ต่อให้สวยกว่านี้อีกเท่าตัว แต่ต้องแลกกับเวลาในชีวิตแค่ 1 วัน  หงีก็ไม่ยอม

ดังนั้น .. หงีจึงให้ความสำคัญกับการดูแลร่างกายเพื่อให้ "มีชีวิตยืนยาว" โดย "มีชีวิตที่ดี" ร่างกายแข็งแรงไม่เจ็บป่วย สามารถทำทุกอย่างได้อย่างที่อยากจะทำอย่างเต็มประสิทธิภาพ  ไม่เป็นภาระใคร  ได้ใช้เวลาทำกิจกรรมร่วมกับทุกคนที่รักอย่างมีความสุขไปให้ได้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้

วันหนึ่ง หงีอ่านนิตยสาร Women's  Health แล้วพบบทสัมภาษณ์ของ Cameron Diaz ที่พูดถึงการดูแลตัวเอง ... แนวคิดของเธอค่อนข้างตรงกับหงี นั่นก็คือ ร่างกายของเราเป็นสิ่งที่มีค่าที่สุดที่เรามีได้ ดังนั้น การดูแลร่างกายให้ดีในวิธีที่ถูกต้องเป็นสิ่งที่เราควรจะทำ ... เธอพูดถึงการศึกษาเรื่อง "ร่างกาย" อย่างจริงจัง  เพื่อให้มีความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้อง  โดยเธอทำความเข้าใจลงลึกถึงในระดับ "เซลล์"  :)  ซึ่งเรื่อง "เซลล์" นี้ จะถูกพูดถึงอย่างละเอียดในหนังสือเล่มล่าสุดของเธอ ซึ่งเป็น "ภาคต่อ" ของหนังสือ "เล่มแรก"ที่ชื่อ The Body Book :) 

นั่นแหละ ... ที่มาล่ะ ... หงีไม่รอช้า รีบหาดูว่าที่ Kinokuniya มีไหม ... และขอบคุณพระเจ้า  มีค่ะ!!! โทรไปสั่งทันที และไปรับหนังสือมาอ่าน วันนั้นเลย!!!  ( หมายเหตุ :  เป็นคนชอบอ่านหนังสือเล่มจริง ไม่ชอบอ่าน e-book )

หงีได้อ่าน แล้วก็พบว่า เป็นหนังสือที่ดี  เพราะตัว Cameron Diaz เอง  ได้ทำการศึกษาเรื่องนี้อย่างจริงจังโดยพูดคุยปรึกษากับ นักวิทยาศาสตร์  นักโภชนาการ  ผู้เชี่ยวชาญด้านต่างๆเกี่ยวกับร่างกายและจิตใจของมนุษย์  แล้วนำมาปฏิบัติเป็นระยะเวลายาวนาน 15 ปีแล้ว!!! จึงถ่ายทอดมาเป็นหนังสือเล่มนี้ค่ะ

หนังสือเป็น Version ภาษาอังกฤษ ... ได้บอกกับเพื่อนๆหลายๆคนให้ลองซื้อมาอ่าน ... แต่ ... อุปสรรคที่สำคัญที่ทำให้พวกเค้าไม่อ่าน ก็คือ ไม่ได้ชอบอ่านหนังสือ .. เออ ไม่แปลกนะ เพราะหนังสือเล่มนี้  เขียนบรรยายค่อนข้างเยอะ  แลดูคล้าย Text Book '-_- เล่มโตทีเดียว ... ดังนั้น ... หงีเลยขออนุญาต  ถือโอกาสนี้ เล่าเรื่องราวที่หงีได้อ่านจากหนังสือ The Body Book ให้ฟังพร้อมๆกันเลย^^  เอ้าเริ่ม!!!

บทแรก .. จะเป็นบทที่ Cam อธิบายวิธีคิดของเธอที่เกี่ยวกับการดูแลสุขภาพให้ดีทั้งภายในและภายนอก  และซึ่งเป็นเหตุผลให้เธอเขียนหนังสือเล่มนี้ค่ะ ... หงีแปลมาทั้งบท เพราะหงีอ่านดูแล้วพบว่า  ไม่มีท่อนไหนที่ควรตัดออกเลย ...

The Body Book :  the law of hunger, the science of strength, and other ways to love your amazing body

" เพราะการให้ความรู้ตัวเองเกี่ยวกับ “ร่างกาย” เป็นหนึ่งในสิ่งที่สำคัญที่สุดที่คุณทำได้  เมื่อคุณอ่านหนังสือเล่มนี้ คุณจะได้เรียนรู้เกี่ยวกับโภชนาการ วิธีรับประทานอาหารให้ได้ประโยชน์และอร่อย!!! คุณจะได้เรียนรู้เกี่ยวกับการออกกำลังกาย และรู้ว่าการเคลื่อนไหวร่างกายนั้นส่งผลต่อคุณอย่างไร  คุณจะได้เรียนรู้เกี่ยวกับจิตใจ เพื่อที่คุณจะได้ มีสติรู้ตัวเอง และค้นพบวินัยของตัวเอง  เพราะ โภชนาการ การออกกำลังกาย จิตใจ และวินัย ไม่ควรเป็นเพียงแค่ “คำพูด” แต่เป็น “เครื่องมือ” เป็นแนวทางที่คุณจะใช้ดูแลตัวเองเพื่อจะเป็นคนที่แข็งแรงขึ้น  สมาร์ทขึ้น  มีความมั่นใจมากขึ้น และยอมรับตัวเองมากขึ้น

สำหรับ Subtitle ของชื่อหนังสือ Your Amazing Bodyฉันเชื่อแบบนั้นจริงๆ  ร่างกายของคุณนั้นมหัศจรรย์  ไม่ว่าคุณจะมีรูปร่างอย่างไร  ร่างกายของคุณคือ เครื่องจักรมหัศจรรย์ที่ทำสิ่งยอดเยี่ยมต่างๆได้มากมาย ตั้งแต่นำอากาศมาใช้เพื่อทำให้สมองทำงาน  เพื่อเปลี่ยนซีเรียลที่คุณรับประทานให้เป็นพลังงาน และใช้พลังงานนั้นเพื่อเดินไปขึ้นรถประจำทาง  และการรู้วิธีดูแลร่างกายตัวเอง เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดที่คุณเคยได้เรียน!!!

เพราะคุณเกิดมามีเพียง “ร่างเดียว” ร่างกายที่คุณใช้ตั้งแต่เกิดมาเป็นทารก และจะเป็น “ร่าง” ที่คุณจะต้องใช้ต่อไปเมื่อคุณอายุ 75 ปี แน่นอน ... ร่างกายของคุณค่อยๆเปลี่ยนแปลงและจะเปลี่ยนอย่างไม่หยุดหย่อน แต่ไม่ว่ามันจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร  มันก็ยังเป็น “ร่างกายของคุณ”   ไม่ว่ามันจะมีรูปร่างอย่างไร  ไม่ว่าคุณจะรักหรือเกลียดรูปร่างตัวเอง  ไม่ว่ามันจะรู้สึกเหนื่อยล้าหรือมีชีวิตชีวา ร่างกายของคุณ ก็คือ สิ่งที่มีค่าที่สุดที่คุณมี!!!

ร่างกายของคุณ คือ อดีต ปัจจุบัน และอนาคตของคุณ  มันเก็บความทรงจำของบรรพบุรุษของคุณ เพราะคุณถือกำเนิดขึ้นจากยีนส์ซึ่งส่งผ่านมาทางพ่อแม่ของคุณและพ่อแม่ของคุณก็ได้รับการส่งผ่านยีนส์นี้มาจากพ่อแม่ของพวกเขา  ร่างกายของคุณคือผลพวงของสิ่งที่คุณกิน  ผลพวงจากการออกหรือไม่ออกกำลังกาย และความพยายามทุกอย่างที่คุณได้ทำเพื่อที่จะเข้าใจและดูแลมัน  และการที่คุณดูแลร่างกายของคุณอย่างไรก็จะเป็นตัวกำหนดว่าคุณจะมีชีวิตที่ดีได้อย่างไร  ดังนั้น ไม่ว่าคุณจะอยากมีขาที่ยาวกว่านี้  สะโพกที่เล็กกว่านี้  หน้าอกที่ใหญ่กว่านี้  หนังสือเล่มนี้เหมาะสำหรับคุณ  มันเป็นเครื่องแนะแนวทางเพื่อให้คุณยอมรับในสิ่งที่คุณมีและ “รัก” มัน  เพื่อให้คุณชื่นชมยินดีว่าร่างกายนี้ดีอย่างไร  หนังสือนี้เป็นเครื่องแนะแนวทางในการเพิ่มความแข็งแรงและแข็งแกร่งของร่างกายเพื่อให้มันได้พาคุณไปในทุกๆที่ที่คุณอย่ากจะไป เพื่อให้มันได้ทำให้คุณประสบความสำเร็จ  เพื่อให้คุณได้ใช้ชีวิตกับคนที่คุณรัก  เพื่อให้คุณได้ทำในสิ่งที่รักและการผจญภัยต่างๆ   ดังนั้น  เพื่อให้คุณได้ไปถึงจุดมุ่งหมายต่างๆที่คุณมี  คุณจึงต้องดูแลร่างกายให้แข็งแรง ให้มีประสิทธิภาพมากที่สุดเท่าที่คุณจะทำได้  คุณจึงต้องเรียนรู้ที่จะ “อยู่อย่างมีคุณภาพ” ใน “ร่างกายที่สวยงามเป็นเอกลักษณ์” ของคุณ

แน่นอน คุณจะทำไม่ได้หรอก ถ้าคุณ “ไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไร”  โชคไม่ดีที่การเป็นผู้หญิงนั้น มักทำให้เราได้รับแรงกดดันต่างๆอยู่เรื่อยๆ เช่น  ต้องสวยขึ้น เซ็กซี่ขึ้น ผอมลง  ดูเด็กลง ฯลฯ  การเกิดเป็นผู้หญิงในสมัยนี้ เราได้รับแนวคิดที่ทำให้เราต้องเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่นๆอยู่เสมอ เมื่อแท้ที่จริงแล้ว สิ่งที่เราควรทำคือ โฟกัสกับความแข็งแรงของตัวเอง  ความสามารถของตัวเอง และ ความสวยงามในแบบของเราเอง

นี่คือเหตุผลที่ฉันเขียนหนังสือเล่มนี้  เพื่อให้เราได้เรียนรู้ไปด้วยกันเรื่อง “วิทยาศาสตร์ที่ถูกต้อง” ในเรื่องต่างๆที่เกี่ยวข้องกับ “ร่างกายของเรา” แทนที่จะรับเอาข้อมูลที่ผิดๆต่างๆรอบตัวเรา  ฉันไม่ใช่นักวิทยาศาสตร์  ฉันไม่ใช่หมอ  ฉันเป็นเพียงผู้หญิงคนหนึ่งที่ใช้เวลา 15 ปีในการเรียนรู้เกี่ยวกับร่างกายตัวเอง และปฏิบัติตามที่ได้เรียนรู้มา ซึ่งเป็นประสบการณ์ที่คุ้มค่าที่สุดในชีวิตของฉัน  ทุกสิ่งที่ฉันมี และทุกสิ่งที่ฉันเป็น ล้วนเกี่ยวข้องกับความรู้ในเรื่องร่างกายของฉัน  และฉันก็อยากให้คุณได้รับในสิ่งเดียวกัน  ฉันอยากให้คุณได้รู้จักตัวเอง  พลังของตัวเอง  และฉันอยากให้คุณได้เป็นคนหนึ่งซึ่งมีพลังมากมาย  มีความสามารถมากมาย และเป็นผู้หญิงที่มีความมั่นใจในแบบที่คุณสามารถจะเป็นได้  ฉันอยากให้คุณได้รู้ว่า มันรู้สึกอย่างไรที่คุณมีความสัมพันธ์ที่ดีกับร่างกายตัวเอง  รู้สึกเชื่อมโยงถึงมัน  ฉันอยากให้คุณได้รู้จักกับความสุขที่แท้จริงในการใช้ชีวิตใน “ร่างกายของตัวเอง” ซึ่งเป็น “ร่างกายของคุณคนเดียว”!!!  ให้คุณได้รู้ว่าการดูแลตัวเองโดยการรับประทานอาหารที่ดี  ออกกำลังกาย  และใส่ใจในสุขภาพของตัวเองจริงๆ นั้นมันรู้สึกดีอย่างไร  เพราะเมื่อคุณได้มีความรู้ และใช้ชีวิตในร่างกายที่คุณตั้งใจดูแลเป็นอย่างดีแล้ว คุณจะพบว่าคุณมีพลังอย่างล้นเหลือ และคุณสามารถที่จะเห็น และได้สัมผัสกับโลกใบนี้แบบที่ไม่เคยมาก่อน 

เพราะฉันต้องการให้ทั้งหมดนี้กับคุณ  ฉันได้พูดคุยกับผู้เชี่ยวชาญด้านยา  โภชนาการ  การออกกำลังกาย  นักวิทยาศาสตร์  ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพ และนักจิตวิทยา  ผู้คนซึ่งได้ทุ่มเทชีวิตและอาชีพของพวกเขาเพื่อทำความเข้าใจเกี่ยวกับร่างกายและจิตใจ  ว่ามนุษย์คนหนึ่งต้องทำอย่างไรเพื่อที่จะมี สุขภาพกาย และ สุขภาพจิต ที่ดีที่สุดเท่าที่มนุษย์คนหนึ่งจะมีได้  ฉันนำความรู้ที่ได้จากการพูดคุยกับพวกเขามาปฏิบัติ  เพื่อให้ “ตัวเอง” ได้เป็น “ตัวอย่างของผลลัพธ์จากการปฏิบัติตามคำแนะนำเหล่านั้น” เพื่อคุณจะได้เห็น และรับประโยชน์จากมัน

เมื่อคุณอ่านหนังสือเล่มนี้จบ  เมื่อคุณได้รวบรวมข้อมูลทั้งหมด  เมื่อมันอยู่ภายในตัวคุณจริงๆ  ในร่างกายคุณจริงๆ  ในนิสัยของคุณจริงๆ  คุณจะไม่ต้อง “คิด” อีกต่อไป  มันจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของคุณ  มันจะกลายเป็น “ตัวคุณ”  และเมื่อมันเกิดขึ้น  พลังงานทั้งหมดของคุณจะกลายเป็น “พลังงานบวก” ที่ทำให้คุณทำสิ่งต่างๆได้สำเร็จ  คุณจะเป็นตัวของตัวเอง  และได้สร้างสรรค์สิ่งต่างๆขึ้น  แทนที่จะมานั่งกังวลว่า คุณดูเป็นอย่างไร?  คุณรู้สึกเหนื่อยไหม?  ทำไมน้ำหนักไม่ยอมลดซักที?!!  

แน่นอนว่า การเปลี่ยนแปลงนั้น ไม่สามารถทำได้ภายในวันเดียว หรือโดยแค่อ่าน หรือแค่หวัง  ความจริงก็คือ  ไม่มี “ทางลัด” หรือ “ยาวิเศษ” ที่จะช่วยให้ร่างกายของคุณมีสุขภาพที่ดี  เป็นคนที่มีความสุขได้ในชั่วข้ามคืน  การเป็นคนสุขภาพดีนั้นไม่ได้หมายความว่า แค่คุณ “เรียนรู้” ก็เพียงพอ  คุณต้อง “ปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอ” ด้วย!!!  คุณจำเป็นต้องเข้าใจมันจริงๆ เพื่อที่จะได้นำไปใช้ได้ในทุกๆวันของชีวิต

หนังสือนี้ไม่ใช่ “หนังสือสำหรับการลดหน้ำหนัก”  ไม่ใช่ “หนังสือเพื่อการเปลี่ยนเป็นคนอื่น”  แต่เป็นหนังสือที่จะแนะแนวทางให้คุณเป็น “ตัวเอง”  เพราะเมื่อคุณรู้เกี่ยวกับ “ร่างกาย” ตัวเองมากขึ้น  สิ่งที่มหัศจรรย์จะเริ่มเกิดกับคุณ  คุณจะเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงทั้งภายในและภายนอก  คุณจะเริ่มเห็นว่าการเป็นคนสุขภาพดีนั้นนำความสุขมาให้ได้อย่างไร  มันดีแค่ไหนที่รู้สึกว่า คุณเป็นคนแข็งแรงและสามารถทำสิ่งต่างๆได้  ความรู้สึกดีจากภายในจะส่งผลต่อทุกๆอย่างในชีวิตของคุณ  คุณจะเป็นคนที่สวยที่สุดเท่าที่คุณจะเป็นได้  เป็นผู้หญิงที่สุขภาพดี และมั่นใจในตัวเอง  และคุณสมควรได้รับมัน!!! เพราะคุณ “สวยกว่าที่คุณเคยคิด”
---  ค่ะ ... สิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตคุณ คือ ร่างกายของคุณ ... จะมีประโยชน์อะไร ถ้าคุณมีหน้าตาที่สวยที่สุดในโลก แต่คุณกำลังเป็นมะเร็ง และคุณต้องจากคนที่คุณรักไปอย่างทรมานภายในเวลาอีกไม่กี่เดือน ... จะมีประโยชน์อะไรถ้าคุณมีเงินทั้งโลก  แต่ต้องจากไปโดยยังไม่ทันได้ใช้มันเพื่อคนที่คุณรัก ... และจะมีประโยชน์อะไรถ้าคุณมีทั้งเงินทั้งเวลา  แต่เป็นเจ้าหญิงหรือเจ้าชายนิทรา ไม่สามารถลุกขึ้นมาทำอะไรต่างๆที่คุณอยากจะทำได้
Post ต่อๆจากนี้ไปอีกซัก 4-5 โพสต์  หงีจะเล่าสิ่งที่ได้จาก The Body Book นะคะ^^  ตอนต่อไป ก็จะเป็นเรื่อง "อาหาร" แล้ว^^  หงีอ่านจบแล้ว  หงีบอกได้เลยว่า มันสำคัญมากๆ  และจากตอนนี้เอง  หงีได้ปรับการกินมากินตามกรุ๊ปเลือด  แล้วมันก็ได้ผลดีซะด้วย!!! 
แล้วจะมาเล่าให้ฟังนะ muah!!!
God Bless You!

Saturday, July 9, 2016

ทำธุรกิจ...เงินไม่พอ...ขอที่ใคร?


สวัสดีค่า  กลับมาพบกันอีกล๊าววววว ... ทิ้งห่างจากโพสต์ก่อนหน้าไปราวๆเดือนนึง  คิดว่า คงไมได้นานเกินไปเนอะ ^^ หุหุ  เช่นเคยค่ะ  ขอออกตัวก่อนเลยสำหรับ Topic ในวันนี้ว่า  ไม่ได้เป็นกูรู  ไม่ได้มีประสบการณ์การทำธุรกิจมาอย่างโชกโขน  ไม่ได้เป็นคนเก่ง อะไรใดๆทั้งสิ้น ... เพียงแต่เป็นคนที่อยากจะเขียน อยากจะเล่า อยากจะแชร์มุมมอง  เพื่อเป็นประโยชน์แก่คนอ่านบ้าง ไม่มากก็น้อย ... และแน่นอน  Welcome ทุกๆคำแนะนำ และจะขอบพระคุณมากๆถ้าจะมาเปิดความรู้ใหม่ๆให้กันค่ะ^^

ทำธุรกิจ... เงินไม่พอ ขอที่ใคร? .. หงีเชื่อว่า คำถามนี้เนี่ย เป็นคำถาม Super Classic .. คนทำธุรกิจทุกคนอยากจะรู้ อยากจะหาทางออกสวยๆให้กับ Challenge นี้ ... ถึงตรงนี้ก็ ขออนุญาต ขอบคุณน้องชายที่น่ารักของหงีคนนึง  น้องเป็นคนทำธุรกิจเก่งค่ะ  เป็น CEO ตั้งแต่อายุยังน้อย แล้วบริษัทเค้าก็ดำเนินกิจการไปได้อย่างดีเสียด้วย  ดังนั้น กิจการใดๆที่เติบโตเร็วๆมากๆ  หลายๆครั้งก็มักจะมี Challenge เรื่องนี้ค่ะ คือ อยากได้เงินมาขยาย เพราะเห็นโอกาส และเพื่อรองรับตลาดที่เติบโตอย่างรวดเร็ว  ดังนั้น ก็จะมาเจอคำถามเดียวกัน คือ เงินไม่พอ ขอที่ใคร? J  ... ที่ขอบคุณเค้า ก็เพราะน้องเค้ามาถาม เราแลกเปลี่ยนความรู้ ความคิดเห็นกัน  แล้วก็ทำให้หงีได้มานั่งลงพิจารณาเรื่องนี้จริงๆจังๆ  เพราะปัจจุบันธุรกิจเราก็พบ Challenge นี้เช่นเดียวกัน

ไอ้เรื่องเงินไม่พอเนี่ย ... ถ้าเราดูตามหลักทางการเงิน  มันก็คือเรื่องของ Source of Fund หรือ แหล่งเงินทุน ... ซึ่งกว้างๆแล้ว ก็สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท คือ เงินกู้ กับ เงินของผู้ถือหุ้น ( หรือ ผู้ร่วมทุน หรือ หุ้นส่วน  ตามแต่คุณจะเรียกค่ะ ) จริงๆหลักเบสิคง่ายๆ มีแค่นี้เองนะ ... เลือกเอาตามชอบ  อยากเป็นหนี้ หรือ อยากหาคนมาร่วมหัวจมท้ายด้วย ซึ่งแต่ละแบบ ก็มีข้อดีข้อเสียแตกต่างกัน

การเป็นหนี้ .. คือ การกู้หนี้ยืมสิน  ความหมายตรงๆซื่อๆ แบบนั้นเลย ... สำหรับข้อนี้ หงีว่า  มันก็มีหลักๆ อยู่ 2 แบบ คือ  กู้ธนาคาร กับ กู้คนรู้จัก J …. การกู้ธนาคาร  ถ้าเอาตามหลักทั่วๆไป ว่ากันซื่อๆ คือ  คุณต้องมีหลักประกัน ( คือ เงินฝาก พันธบัตรรัฐบาล หุ้นกู้ อสังหาริมทรัพย์ เป็นต้น)  หรือ ผู้ค้ำประกัน เพื่อนำไปขอกู้หนี้ยืมสินเค้า ... เพราะ ไม่มีใครให้เงินคุณมาฟรีๆ โดยไม่รู้จักกันหรอกค่ะ!!!!  เจ้าหนี้ เค้าก็ต้องการที่จะมั่นใจว่า เงินก้อนนี้ที่เค้าให้คุณยืมไปนั้นเนี่ย  มันต้องได้คืน!!!!  ถ้าคุณไม่มีคืน ... มันก็ต้องมีคนมาคืนแทนคุณ!!!!

ดังนั้น ... การกู้หนี้ในแบบที่ 2 คือ กู้คนรู้จัก จึงตามมาเป็น Option สำหรับคนทำธุรกิจตัวเล็กๆ ที่ไมได้มีหลักประกัน ( เงินฝาก พันธบัตร หุ้นกู้ อสังหาฯ ) ... มาถึงตรงนี้ ลองคิดดูดีๆนะ ... ถ้าหาก กู้ธนาคาร แล้วเค้าต้องการ “ผู้ค้ำประกัน” ซึ่ง โดยกฎหมายแล้ว เค้าคือคนที่ต้องมาใช้หนี้แทนเราในอนาคตหากเราไม่สามารถชำระหนี้ที่กู้ยืมมาจากธนาคารได้ ... ดังนั้น  ถ้าเค้าคือคนๆนั้น  แทนที่จะให้ธนาคารกินดอกเบี้ยจากเราไป  ถ้าเค้าสามารถ  ... เค้าให้เรากู้เองไม่ดีกว่าเรอะ!!!! ... นั่นล่ะ การกู้คนรู้จัก จึงเป็น Option ที่หงีเชื่อว่า  ถูกใช้มากที่สุด ( หากคุณไม่ได้มี Connection ใดๆกับเจ้าของธนาคาร หรือ คนทำงานธนาคารที่มีอำนาจตัดสินใจ J) สำหรับคนทำธุรกิจ “ตัวเล็กๆ” แบบเรา

ไหนๆก็พูดถึงประเด็นนี้แล้ว ...หงีก็ลองคิดสนุกๆนะ  ถึง เคสที่มีลูกหลานคนรวยทำธุรกิจ แล้วกู้ยืมเงินธนาคารมาทำธุรกิจ แทนที่จะใช้เงินถุงเงินถังของที่บ้าน ... มันมีประเด็นน่าสนใจตรงนี้ไง  คือ โดยหลักการแล้ว ใครๆก็ทราบค่ะ ว่า การใช้เงินคนอื่น ( Other Peoples Money ) คือ วิธีที่ชาญฉลาดที่สุดในการทำธุรกิจ เพราะ “ดูเหมือน” คุณแทบจะไม่ต้องเอาเงินตัวเองมาเสี่ยงเลย  ถ้าเจ๊ง  ก็เจ๊งๆไป  ไม่เจ็บตัว (แต่ชื่อเสียงคุณเสียเลยนะ ... แต่บางคนก็ไม่แคร์ J) ... แต่ในความเป็นจริงแล้ว .. ลองคิดดูนะ ... คุณคิดว่า  มนุษย์ โง่มั้ย?  มีใครโง่กว่าใครงั้นเหรอ?  หรือ ธนาคารเค้าโง่กว่าคนทำธุรกิจหรอ?  ... หงีว่า ไม่นะ ... การที่คุณจะใช้เงินเค้า  แน่นอน เค้า ( ในที่นี้ อาจจะเป็นเจ้าของธนาคาร หรือ คนที่มีอำนาจตัดสินใจที่ทำงานอยู่ในธนาคาร  ... อันนี้ไม่ทราบได้ เพียงแต่เดา J) ต้อง “ได้” อะไรบางอย่าง ... และแน่นอน “เค้า” ต้องมั่นใจ ( หรือทำให้เจ้าของเงินมั่นใจ ) ได้ค่ะว่า  “ลูกหนี้” จะมีความสามารถในการชดใช้หนี้ที่ให้กู้ยืมไป  และผลตอบแทน “โดยรวม” ที่ได้กลับมาจากการให้กู้นั้น มันคุ้มค่า J  ... การทำธุรกิจใดๆ ในเรื่องของ “ผลตอบแทน” หรือ “สิ่งที่ได้กลับมา” แล้ว .. หงีว่า  การมองแต่เฉพาะ “ตัวเงิน” ที่ได้กลับมาจากการทำ “ธุรกรรม” หรือ “ธุรกิจ” นั้นๆ มันตื้นเขินเกินไป ... หลายๆที เราทำธุรกิจ ไม่ได้ได้กลับมาแต่เพียงตัวเงิน แต่มันได้ความอิ่มใจ ความสุขใจ หรือ คอนเนคชั่น หรือ สิทธิพิเศษใดๆ อันไม่ได้เป็น “ผลตอบแทนที่เป็นตัวเงินทางตรง” ... ฉันใด ก็ฉันนั้น .. #ถามใจเธอดู 

ดังนั้น .. ถ้าจะว่ากันในเรื่องของ “การเป็นหนี้” แล้ว ... สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ “Creditหรือ “ความน่าเชื่อถือของผู้กู้ยืม” .. ไม่ว่าจะในกรณีใดค่ะ  จะกู้ธนาคาร หรือ กู้คนรู้จัก  ... ทั้งหมดทั้งมวล  One Important Question ที่เค้าต้องการจะมั่นใจคือ  คุณสามารถใช้เงินคืนเค้าได้  โดยอัตราดอกเบี้ย หรือ ผลตอบแทนที่ต้องการนั้น  ขึ้นอยู่กับว่า คุณกู้ยืมใคร J  ยืมพ่อแม่ .. สบายไป  ยาวๆเลย ไม่จ่ายดอกยังได้ .. ยืมคนอื่น  อันนี้ก็ขึ้นกะว่า เค้าใจดี หน้าเลือดแค่ไหน ... เป็นเคสๆไป

อย่างไรก็ตาม ... ข้อดีของการเป็นหนี้ที่หงีเห็น คือ การที่ไม่ต้องมา “ปวดหัว” ให้ “เจ้าหนี้” มาร่วมตัดสินใจในการดำเนินธุรกิจ เหมือนอย่างกรณี “ใช้เงินผู้ถือหุ้น” ... ติดหนี้ ก็จ่ายดอก ถึงเวลา ก็คืนเงินต้นไป

แต่กรณี “ใช้เงินผู้ถือหุ้น” ล่ะก็ ... ความสนุกมันอยู่ตรงนี้ Jถามกันตรงๆ เว้ากันซื่อๆ .. มีใครในโลกนี้บ้าง  เอาเงินใส่ลงไปในธุรกิจแล้ว จะไม่อยากยินดียินร้าย  เค้าจะเอาเงินเราไปทำอะไรก็เรื่องของเค้า ตามสบายเล้ยยย มีอีกเยอะ ... หึ  ... คงน้อยมากอ่ะนะคะ  หรือไม่ คนแบบนี้ เงินก็น่าจะหมดได้ในไม่ช้า ... ดังนั้น  เป็นธรรมชาติค่ะ  การหาผู้ถือหุ้น หรือ พาร์ทเนอร์ หรือ หุ้นส่วน  มาร่วมหัวจมท้าย เอาเงินมาทำธุรกิจด้วยกัน ... แน่นอน  เค้าก็ตอ้งอยากรู้  อยากตัดสินใจในการดำเนินธุรกิจแน่ ... คุณเอาเงินเค้าไปทำอะไร  เค้าก็ต้องรู้ใช่ไหม? เช่น  ถ้าเค้าเอาเงินมาใส่ 30 ล้าน  แล้วคุณเอาเงินบางส่วนไปซื้อรถยนต์คันหรู ( อุ๊ย .. ไม่ได้ว่าใครนะคะ  ยกตัวอย่างเฉยๆ )  เค้าก็อยากจะมีส่วนในการตัดสินใจว่า ให้หรือไม่ให้ไหม?   หรือแม้กระทั่ง  คุณเอาเงินเค้ามา   แต่ดันไปเลือกทำกิจกรรมการตลาดบ้าๆบอๆ เผาเงินไปเป็น 10 ล้าน โดยหา Return ไม่ได้ ... เค้าก็อยากจะร่วมตัดสินใจ Say yes หรือ no ไหม? ... ฉันใดก็ ฉันนั้น #ถามใจเธอดู  ( แฮ่!!! วันนี้เล่นมุขนี้บ่อยนะ )

อย่างไรก็ตาม ... การหา “ผู้ร่วมทุน” ก็ยังเป็น Option ที่คนจำนวนมากสนใจ  เพราะดูเผินๆแล้ว เหมือนไม่เครียด  แต่ละเดือน หรือ แต่ละ Period ไม่ต้องมานั่งเครียดว่า จะมีเงินจ่ายดอกเค้าไหม เค้าจะได้ไม่มายืดนู่นนี่ หรืออะไรก็แล้วแต่ ... แต่หงีคิดว่า อย่ามองอะไรตื้นเขินเกินไป  และอย่ามองแต่ Win ของตัวเอง .. คุณต้องนึกถึง Win ของเจ้าของเงินด้วย

ดังนั้น ... การหาผู้ร่วมทุน ... หงีคิดว่า จำเป็นเหลือเกินค่ะ ที่คุณควรจะศึกษานิสัยใจคอการทำธุรกิจ วิธีคิด และสิ่งที่เค้าต้องการให้ดี ... เค้าต้องการอะไร? ไม่ใช่แค่ ผลตอบแทน แต่อาจจะเป็นอำนาจการตัดสินใจในการดำเนินธุรกิจ หรือ ความรู้ในการดำเนินธุรกิจ หรือ อะไรก็แล้วแต่ ...  คุณควรจะคิดให้ดีว่า สิ่งเหล่านั้น  คุณ “ให้” เค้าได้ไหม เพื่อเป็นการ “แลกเปลี่ยน” กับ “เงินทุน” ที่คุณต้องการจะได้มา ... นอกจากนั้นแล้ว ... Type ของเค้า  วิธีคิด วิธีการดำเนินธุรกิจ การตัดสินใจต่างๆ  มันเข้ากันได้ไหม?  เหมือนคุณจะพาใครเข้าบ้าน .. คุณต้องรู้ก่อนนะว่า นี่โจร หรือ คนดี ... จะแต่งงานกับใครต้องรู้นะ  เค้าเป็นคนยังไง  ชอบบ้านสะอาดบ้านรก  มีไลฟ์สไตล์แบบไหน อะไรต่างๆ ... เพราะพอมาร่วมหอลงโรง ร่วมหัวจมท้ายกันแล้ว มันคือ Long Term Relationship แบบมีรายละเอียดร่วมกันหลายอย่างนะคุณ  ... เช่น ถ้าหากคุณเป็นคนใช้ Sense มาก  แล้ว “ไม่ค่อยฟังใคร” เฮ้ย คุณต้องรู้ตัวนะ ... ถ้าคุณดันลือกผู้ร่วมทุนแบบ มีเหตุผลมากม๊ากกกกกกกก มาอยู่ด้วยกัน อาจจะตีกันตายได้ เช่น ถ้า Sense คุณบอกว่า Go แต่พี่แกคิดสรตะ 28 ตลบแล้วพบว่า No เอาเลยคุณ  เถียงกันบ้านแตก สุดท้ายไม่ได้ทำอะไรซักอย่าง  งานไม่เดิน เงินไม่มี  ไม่มีใครมีความสุข ธุรกิจพัง ... Oh no…. So sad ค่ะ i_i

ท้ายที่สุดแล้ว ... หงีคิดว่า  เรื่องการหาเงินจากที่ไหนนี้ หัวใจสำคัญของมัน ก็กลับมาที่ “รากฐาน” ดั้งเดิมของเรื่อง “ความสัมพันธ์” คือเรื่อง Trust นะ ... ทั้งในกรณี “กู้” และ “หาผู้ร่วมทุน”  ทั้งหมดทั้งมวล มันคือ Trust เลย ... ไม่ว่า “เจ้าหนี้” หรือ “ผู้ร่วมทุน” ต้องการอย่างเดียว คือ ความมั่นใจ .. ซึ่งการที่เค้าจะมั่นใจได้ มันก็คือ เค้า “เชื่อใจ” คุณได้แค่ไหน  ซึ่งรากของมันก็มาจาก Character หรือ ความเป็นคุณ นั่นแหละ ... ในทางกลับกัน  คุณเอง จะเลือก “กู้” หรือ “เอาใครมาร่วมบ้าน” คุณก็ต้อง “เชื่อใจ” เค้าใช่ไหม?  ... คุณคงต้องเชื่อใจและมั่นใจแหละว่า สัญญากู้ นั้นเป็นธรรม ... คนที่เอามาร่วมบ้าน ต้องไม่ใช่โจร ... ทั้งหมดทั้งมวล  หงีว่า มันเรียบง่ายมากๆจริงๆ

ประโยชน์อะไร ในการนั่งคิดวิธีการซับซ้อนวุ่นวาย  เมื่อสุดท้ายแล้ว ต่างฝ่ายต้องการอะไร มันก็แสนจะ Simple ไม่ได้ซับซ้อนขนาดนั้น .. ประโยชน์อะไรที่จะวิ่งหาที่ปรึกษาทางการเงินให้คิด Structure ซับซ้อน กู้อันนี่ ในแบบนั้น เรียกมันรูปแบบ Hybrid หรือ อะไรวุ่นวาย ... สุดท้าย คุณแค่ควรจะตอบคำถามง่ายๆ  .. เค้าให้เงินคุณ แล้วเค้าได้อะไร? แล้วเค้ามั่นใจได้ไหมว่าเค้าจะได้อะไรที่เค้าต้องการ

สุดท้ายนี้ ... หงีอยากจะพูดถึงเคสที่หงีสะเทือนใจ ... หงีคิดว่า หลายครั้ง  เราเลือกตัดสินใจทำอะไรลงไป โดยไมได้คิดถึงผลที่ตามมาให้ถี่ถ้วน ... มีบางเคส  คิดว่า  การ Deal เพื่อให้ได้มาซึ่ง “เงินทุน”  โดยไม่ได้สนใจ “สัญญา” ( ไม่ว่าจะสัญญากู้ หรือ สัญญาร่วมลงทุน นะคะ) และไม่ได้มี Commitment ที่จะ Deliver ให้ได้ตามนั้น  เพราะ “ไม่แคร์” .... หงีคิดว่า นี่เป็นอะไรที่น่าเห็นใจ และตื้นเขิน ... มนุษย์เรา  Character และ Credibility ( ความน่าเชื่อถือ)  นั้นสำคัญ ... เมื่อคุณตัดสินใจผิด  “ผิดสัญญา”  แม้ตามกฎหมาย หลายๆครั้ง “กฎหมายแพ่ง” ไม่สามารถ “บังคับชำระ” ตามสัญญาได้  คุณอาจเบี้ยว ไม่จ่ายตามสัญญานั้น ... แต่สิ่งที่มันจะติดตัวคุณไป  และส่งผลเสียอย่างประเมินค่าไม่ได้คือ “คุณเสียความน่าเชื่อถือไปแล้ว” ... โดยสิ่งที่สำคัญ ที่คุณจะลืมไมได้คือ  “โลกมันกลม” ... วงการธุรกิจมันเชื่อมโยงกันหมด ไม่ว่าจะธุรกิจไหนๆ ... และการสูญเสียความน่าเชื่อถือไป  มันคือ การสูญเสียอะไรหลายๆอย่าง .. ใครจะอยากให้คุณกู้?  ใครจะอยากร่วมทุนกับคุณ?  ใครจะอยากทำธุรกิจกับคุณ?  และมันสะท้อนถึง Mindset ของคุณในการทำธุรกิจแบบ “ตีหัวเข้าบ้าน” สุดท้ายแล้ว  Sustainable Business / Growth จะมาถึงได้อย่างไร?

หงีอยากฝากสิ่งนี้ไว้ให้พิจารณานะคะ ... เพราะหลายๆเรื่อง ... มันเรียบง่าย ไม่ได้มีอะไรซับซ้อน ทุกอย่างมันก็กลับมาที่เรื่องของ “คน” ทั้งสิ้น

สุดท้ายนี้ (จริงๆละ 555+)  อย่างที่ทุกคนที่อ่าน Blog ของหงีทราบ ... หงีจะเขียน ก็ต่อเมื่อมีเรื่องที่มีประโยชน์อยากจะแชร์  แต่ที่สำคัญคือ  หงีจะเขียน ก็ต่อเมื่อมีความรู้สึกอยากจะเขียน และเวลาหงีเขียน ทุกอย่างมันไหลออกมาแบบรวดเดียวจบ ... หงีเชื่อว่า ทั้งหมดนี้ มาจากพระเจ้า ... ขอขอบพระคุณพระเจ้าค่ะ สำหรับสติปัญญา และการบรรยายนี้ที่มาจากพระองค์ทั้งสิ้น

Happy Sunday God Bless You
ป.ล.  ฝาก Link ที่มีประโยชน์ และ Simple ไว้ให้อ่านนะคะ https://www.1213.or.th/th/serviceunderbot/loans/Pages/beforeloan.aspx