เอาล่ะๆๆๆ ... อย่าพึงงอนกัน ... หายไปไม่กี่วัน คงไม่ได้คิดถึงอะไรกันหรอกเนอะ ( มองบน )
จริงๆ เรื่องของค่าตอบแทนนั้น ... Logic มันง่ายนิดเดียวเองค่ะ คือ "คุณต้องเข้าใจคน" :)
ก่อนอื่นลย ... มาทำความเข้าใจเรื่องทั่วๆไปของค่าตอบแทนกันก่อนเนาะ ... จริงๆ ภาษา HR เค้าใช่คำว่า Total Remuneration ค่ะ ซึ่งแปลว่า ค่าตอบแทนรวม ... เพราะ ค่าตอบแทนที่บริษัทจ่ายให้แก่พนักงาน โดยทั่วไปแล้วไม่ได้มีแค่เงินเดือนอย่างเดียว แต่มีเรื่องของสวัสดิการและอะไรอื่นๆอีกด้วย ซึ่งก็สามารถแบ่งชัดๆได้เป็น 2 ส่วน คือ ส่วนที่เป็นเงิน และ ส่วนที่ไม่ใช่ตัวเงิน
ส่วนที่เป็นเงิน ก็ได้แก่ เงินเดือน, ค่าคอมมิชชั่น
ส่วนที่ไม่ใช่เงิน ก็ได้แก่ สวัสดิการต่างๆ อาทิเช่น ประกันสุขภาพ, รถรับส่ง, อาหารกลางวัน ฯลฯ
เอาจริงๆนะ ... มันมีแค่นี้แหละ ... ค่าตอบแทนที่เป็นตัวเงิน กับ ค่าตอบแทนที่ไม่เป็นตัวเงิน :)
คุณรู้มั้ย ... หงีว่า Challenge ปัจจุบัน มันไม่ได้อยู่ที่ "ค่าตอบแทนที่เป็นตัวเงิน" เสมอไปหรอก ... เพราะอะไรน่ะหรอ?
ก็เพราะ "มนุษย์" ไม่ได้มีแต่ "ร่างกาย" แล้วจะต้องการแต่เงินมาซื้อของเพื่อสนอง Needs และตัณหาอย่างเดียวน่ะสิ!!!!
ยกตัวอย่างเช่น อันนี้เป็นเคสที่อาจารย์แกเล่าในห้อง (แหะๆ ยืมหน่อยนะคะอาจารย์ หนูชอบเคสนี้จังอ่ะ) แกเล่าให้ฟังว่า มีลูกศิษย์แกคนหนึ่ง อยากจะเปลี่ยนงาน ... โดยตั้งใจเลย จะเข้าบริษัทแห่งหนึ่ง ที่มี Slider ให้พนักงานได้เล่นให้ได้ :) (หลายคนคงทราบนะคะว่าบริษัทไหน :)) เพราะแกรู้สึกว่า มันดู Flexible, Friendly และ แกอยากเล่น Slider!!!! ... หงีว่าอันเนี้ยะ มันสะท้อนให้เห็นว่า การที่คุณทำ Branding และ PR ทำให้สังคมรู้สึกว่าคุณเป็น Brand ที่มีความสุข ( Oops! :)) มันสามารถดึงดูดบุคคลากรดีๆได้เหมือนกัน โดยคุณไม่จำเป็นต้องจ่ายแพงกว่าคู่แข่งด้วยซ้ำ!!!
อีกอันนึง ... ที่สะท้อนถึงมุมการเลือกงานที่ไม่ได้เกี่ยวกับแค่ตัวเงิน นั่นคือ ... แหม ... เล่าลำบากจัง '--
คืองี้นะ มีบุคคลวัย 20 ปลายๆ ท่านหนึ่ง บ้านอยู่แถวๆสมุทรปราการ กำลังมองหางานหลังเรียนจบปริญญาโท บังเอิญแกจบสาย Engineer ดังนั้น งานก็จะมี Offer แถวๆ สมุทรปราการ, อมตะนคร ด้วย ... แกมี Job Offer อยู่ 3 บริษัทค่ะ โดยมีรายละเอียดดังนี้
- สมุทรปราการ ใกล้บ้าน มียูนิฟอร์ม 32,000
- อมตะนคร ไกลบ้าน ไม่มียูนิฟอร์ม 35,000
- สีลม กลางๆ ไม่มียูนิฟอร์ม 28,000
ลองเดาดูเล่นๆนะ บุคคลท่านนี้ แกเลือกงานที่ไหน? ต่อก ติ๊ก ต่อก ติ๊ก ต่อก ( คนอ่านคิดในใจ ... ไปเล่นตรงนู้นนะหงี ) แกเลือก "สมุทรปราการ" ... หรอ? No!!!!!! Wrong! Wrong! Wrong! ( นี่คิดถึง Master สมัยเด็กๆ แกเป็น American เวลาตอบผิด แกจะชอบพูดแบบเนี้ยะ รอง รอง รอง แต่เสียงเหมือนสัญญาณเตือนไฟไหม้อ่ะ )
แกเลือก "สีลม" ค่ะ!!!! ทำไมน่ะหรอ? แกให้เหตุผลแบบนี้ค่ะ ...
"แหม อายุก็ 20 ปลายๆแล้ว เรื่องการหาคู่ก็เป็นเรื่องสำคัญ ... ไอ้ครั้นจะอยู่แต่โรงงานแถวสมุทรปราการ หรือ อมตะนคร ตัวเลือกมันน้อย โอกาสเจอคนถูกตาต้องใจมันก็น้อยตาม ดังนั้น สีลมนี่ล่ะ ตอบโจทย์!! เงินเดือนน้อยกว่าหน่อย เดินทางไกลหน่อย แต่ก็โอเค๊"
ฟังเสร็จไอ้เราก็ขำ ... เออ มีการตัดสินใจเลือกงานแบบนี้ด้วยวุ้ย ... แต่ก็เออนะ มันเป็นเรื่องจริงอ่ะ ซึ่งเรื่องเนี้ยะ มันก็พันไปกับเรื่องของ Generation นะคะ ... สมมติว่า Spec ที่คุณต้องการจะจ้างเนี่ย เป็นเด็ก Gen Z เฮ้ย คุณต้องเข้าใจเค้านะ ว่า เค้ามีความต้องการอะไร มีลักษณะนิสัยเป็นอย่างไร ไม่งั้นดึงดูดยาก อยู่กันลำบาก ... ในทำนองเดียวกัน สมมติคุณอยากได้คนมีประสบการณ์หน่อย แต่ไม่ได้ Senior มาก เป็นคน Gen Y คุณต้องรู้นะว่า คน Gen นี้ ปัจจุบันอายุอยู่ประมาณเท่าไหร่ มีความต้องการอย่างไร ... เพื่อคุณจะได้มาคิดต่อว่า คุณจะ Attract เค้าอย่างไร
อย่างไรก็ตามนะคะ ... ถึงแม้คุณจะเข้าใจในส่วนนี้แล้วว่า "เงิน" ไม่ใช่สิ่งเดียวที่คุณจะสามารถดึงดูดบุคคลากรที่มีความสามารถให้มาอยู่กับคุณได้ แต่คุณก็ลืมไปไม่ได้นะคะว่า "เงิน" ยังคงเป็น "ปัจจัยที่สำคัญ" อยู่ ดังนั้น คุณจะ Cool แค่ไหน แต่คุณจ่ายต่ำกว่าตลาดมากๆ ก็ไม่มีใครเค้าอยากมาอยู่ด้วยอ่ะค่าาาาาา ( หงีว่า ตรงนี้ก็แสดงถึง Mindset ของความแฟร์นะ คือ ถ้าคุณจ่ายถูกมากๆ คือคุณกะเอาของถูกอย่างเดียวเลย หงีว่า มันไม่ใช่อ่ะ )
นอกจากนี้ ... หงีอยากเพิ่มเติมในส่วนของการ Engage หรือ การรักษาพนักงานให้อยู่กับเราไปนานๆค่ะ ... ทราบมั้ยคะ คนเรานั้นประกอบไปด้วย 4 ส่วน คือ Body, Mind, Heart และ Spirit ( ร่างกาย, สติปัญญา , ความรู้สึก, จิตวิญญาณ) ดังนั้น ในการดูแลคน แม้คุณจะจ่ายอย่างเหมาะสมแล้ว ให้สวัสดิการที่เป็นการดูแล "ร่างกาย" เค้าแล้ว ก็อย่าได้ลืมในส่วนอื่นๆด้วย ... คือ ย้อนกลับไปที่ Core ค่ะ "คุณต้องเข้าใจเค้า" ... บางท่าน มาทำงาน นอกจากเงินแล้ว เค้าก็ต้องการพัฒนาในเรื่องของสติปัญญา คุณได้ Engage เค้าในส่วนนี้ไหม? คือ ได้ให้งานที่ Challenge ความสามารถในด้านการคิดของเค้า หรือ ให้เค้าได้เรียนรู้มากขึ้นเรื่อยๆจากงานที่คุณมอบหมาย, บางท่าน พอใจกับเงิน พอใจกับการพัฒนาแล้ว แต่ต้องการการดูแลทางความรู้สึกที่ดี คุณได้ดูแลเค้าหรือยัง? หรือยังพูดจาหักหาญน้ำใจกันอยู่ประจำ ไม่ให้ความสำคัญกับเค้า หรืออะไรต่างๆ
มาถึงตรงนี้ ... หงีเชื่อว่า คุณคงพอจะเข้าใจแล้วว่า "ค่าตอบแทน ... เท่าไหร่ถึงจะพอดี" มันไม่มี Absolute Number ... มันขึ้นอยู่กับว่า คุณกำลังจะจ้างใครต่างหาก ^^ หลักสำคัญ ก็คือ การเข้าใจคน และรู้ว่า เราสามารถให้อะไรได้บ้างที่ไม่ใช่เงิน
ในทางกลับกัน ... สำหรับคนที่เป็นพนักงานอยู่ ... คิดให้ดีๆค่ะ ว่าปัจจุบันองค์กรเค้าดูแลเราเป็นอย่างไรบ้าง ... โดยเฉพาะถ้าหากใครที่คิดว่าอยากจะเปลี่ยนงาน หรือ มี Offer ใหม่ๆมา ... มอง Total Package ค่ะ คิดให้ถี่ถ้วน ทั้งหมดที่คุณจะได้รับทั้งที่เป็นตัวเงินและไม่ใช่ รวมไปถึงการพัฒนาและการดูแลในแง่มุมอื่นๆด้วย
เช่นเคย ... หงีหวังว่า Post นี้ จะเป็นประโยชน์กับทุกท่านที่จะเข้าใจเรื่องของค่าตอบแทนมากขึ้น ทั้งทั้งเป็นพนักงาน ผู้บริหาร หรือ เจ้าของกิจการ :)
สุดท้ายนี้ ... เมื่อวานนี้เป็นวันเกิดหงีค่ะ ^^ ... ขอบคุณค่ะสำหรับคำอวยพร ( ยัง! ฉันยังไมได้คิดอะไรเลย คนอ่านกล่าว ) คืองี้ ... หงีมีโอกาสได้ดูหนังเรื่อง Notting Hill ... เก่าดิ โบราณดิ ... ใช่ ... แน่นอน นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่หงีได้ดูหนังเรื่องนี้หรอก ... แต่รู้มั้ย หงีรู้สึกเหมือนพึ่งได้ดูหนังเรื่องนี้ครั้งแรก!!! เพราะหงีพึ่งเข้าใจเนื้อหา อารมณ์ และสิ่งที่หนังอยากจะสื่อ!!! 555+ เชื่อมั้ย ... ทั้งเรื่อง หงีจำได้แค่ฉากที่มีผู้หญิงคนหนึ่งบอกว่า ตัวเค้าเป็น Fruitarian ผู้ซึ่งไม่รับประทานเนื้อสัตว์ และกินเฉพาะพืชผักผลไม้ที่ตกจากต้นโดยธรรมชาติเท่านั้น โดยการเด็ดผักผลไม้จากต้นโดยไม่ปล่อยให้หล่นเองถือเป็นการ ฆาตกรรม!!!! ( บ้าที่สุด ... แล้วไอ้ฉากน่ารักที่พระเอกดึงเวลาให้นางเอกอยู่กับเค้าให้นานที่สุดโดยชวนดื่มนู่นนี่ ทำไมจำไม่ได้!!)
เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ... ประสบการณ์ จะเป็นตัวช่วยทำให้เราเข้าใจเรื่องราวต่างๆ ... เช่น ก่อนหน้านี้ หงีคงดูเรื่อง Notting Hill ตอนเด็กมากๆ ( แน่ล่ะ หนังปี 1999 อ่ะค่ะ ) หงีถึงไม่เข้าใจความโรแมนติก ความอบอุ่น ความน่ารักของการตกหลุมรัก ... แต่พอเมื่อวาน ( แน่นอน ... ปีนี้ก็ 32 ละ) หงีเข้าใจทั้งหมด และเห็นว่า หนังเรื่องนี้นั้นเป็นหนังที่ดี และอบอุ่นมากๆ
ซึ่งสอดคล้องกับคามเชื่อของคริสเตียนเราที่ว่า พระเจ้ามีแผนการสำหรับเราทุกคน และทุกสิ่งที่เกิดขึ้นกับชีวิตเราคือสิ่งที่ดีที่สุดแล้ว ... เรื่องนี้ ได้ตอกย้ำความเชื่อนี้... หงีไม่มีวันเข้าใจอะไรหลายๆอย่างถ้ายังไม่ถึงเวลา ... ในตอนเป็นเด็ก ยังไม่ต้องเข้าใจเรื่องความรัก เราก็ไม่เข้าใจ ... เมื่อถึงเวลาที่สมควรแล้ว เราก็จะรู้และเข้าใจทุกอย่างเอง :)
ขอบคุณที่อ่านจนจบ ... ขอพระเจ้าอวยพรทุกท่านค่ะ^^
AMEN ขอบคุณพระเจ้า
ReplyDelete