Sunday, May 29, 2016

HR : ค่าตอบแทน ... เท่าไหร่ถึงจะพอดี?

เอาล่ะๆๆๆ  ... อย่าพึงงอนกัน ... หายไปไม่กี่วัน คงไม่ได้คิดถึงอะไรกันหรอกเนอะ  ( มองบน )

จริงๆ เรื่องของค่าตอบแทนนั้น ... Logic มันง่ายนิดเดียวเองค่ะ คือ "คุณต้องเข้าใจคน" :) 

ก่อนอื่นลย ... มาทำความเข้าใจเรื่องทั่วๆไปของค่าตอบแทนกันก่อนเนาะ ... จริงๆ ภาษา HR เค้าใช่คำว่า Total Remuneration ค่ะ ซึ่งแปลว่า ค่าตอบแทนรวม ... เพราะ ค่าตอบแทนที่บริษัทจ่ายให้แก่พนักงาน โดยทั่วไปแล้วไม่ได้มีแค่เงินเดือนอย่างเดียว  แต่มีเรื่องของสวัสดิการและอะไรอื่นๆอีกด้วย  ซึ่งก็สามารถแบ่งชัดๆได้เป็น 2 ส่วน  คือ  ส่วนที่เป็นเงิน และ ส่วนที่ไม่ใช่ตัวเงิน

ส่วนที่เป็นเงิน  ก็ได้แก่  เงินเดือน, ค่าคอมมิชชั่น
ส่วนที่ไม่ใช่เงิน   ก็ได้แก่  สวัสดิการต่างๆ อาทิเช่น ประกันสุขภาพ, รถรับส่ง, อาหารกลางวัน ฯลฯ

เอาจริงๆนะ ... มันมีแค่นี้แหละ ... ค่าตอบแทนที่เป็นตัวเงิน กับ ค่าตอบแทนที่ไม่เป็นตัวเงิน  :)

คุณรู้มั้ย ... หงีว่า Challenge ปัจจุบัน  มันไม่ได้อยู่ที่ "ค่าตอบแทนที่เป็นตัวเงิน" เสมอไปหรอก ...  เพราะอะไรน่ะหรอ? 

ก็เพราะ "มนุษย์"  ไม่ได้มีแต่ "ร่างกาย" แล้วจะต้องการแต่เงินมาซื้อของเพื่อสนอง Needs และตัณหาอย่างเดียวน่ะสิ!!!! 

ยกตัวอย่างเช่น  อันนี้เป็นเคสที่อาจารย์แกเล่าในห้อง (แหะๆ ยืมหน่อยนะคะอาจารย์ หนูชอบเคสนี้จังอ่ะ)  แกเล่าให้ฟังว่า มีลูกศิษย์แกคนหนึ่ง  อยากจะเปลี่ยนงาน ... โดยตั้งใจเลย จะเข้าบริษัทแห่งหนึ่ง ที่มี Slider ให้พนักงานได้เล่นให้ได้ :) (หลายคนคงทราบนะคะว่าบริษัทไหน :))  เพราะแกรู้สึกว่า มันดู Flexible, Friendly และ แกอยากเล่น Slider!!!! ... หงีว่าอันเนี้ยะ มันสะท้อนให้เห็นว่า  การที่คุณทำ Branding และ PR ทำให้สังคมรู้สึกว่าคุณเป็น Brand ที่มีความสุข ( Oops! :)) มันสามารถดึงดูดบุคคลากรดีๆได้เหมือนกัน โดยคุณไม่จำเป็นต้องจ่ายแพงกว่าคู่แข่งด้วยซ้ำ!!!

อีกอันนึง ... ที่สะท้อนถึงมุมการเลือกงานที่ไม่ได้เกี่ยวกับแค่ตัวเงิน  นั่นคือ ... แหม ... เล่าลำบากจัง '--
คืองี้นะ มีบุคคลวัย 20 ปลายๆ ท่านหนึ่ง  บ้านอยู่แถวๆสมุทรปราการ กำลังมองหางานหลังเรียนจบปริญญาโท  บังเอิญแกจบสาย Engineer ดังนั้น งานก็จะมี Offer แถวๆ สมุทรปราการ, อมตะนคร ด้วย ... แกมี Job Offer อยู่ 3 บริษัทค่ะ  โดยมีรายละเอียดดังนี้
-  สมุทรปราการ   ใกล้บ้าน  มียูนิฟอร์ม       32,000
-  อมตะนคร         ไกลบ้าน  ไม่มียูนิฟอร์ม   35,000
-  สีลม                 กลางๆ     ไม่มียูนิฟอร์ม   28,000
ลองเดาดูเล่นๆนะ  บุคคลท่านนี้  แกเลือกงานที่ไหน?  ต่อก ติ๊ก ต่อก ติ๊ก ต่อก  ( คนอ่านคิดในใจ ... ไปเล่นตรงนู้นนะหงี ) แกเลือก "สมุทรปราการ" ... หรอ?  No!!!!!! Wrong!  Wrong!  Wrong!  ( นี่คิดถึง Master สมัยเด็กๆ  แกเป็น American  เวลาตอบผิด แกจะชอบพูดแบบเนี้ยะ รอง รอง รอง แต่เสียงเหมือนสัญญาณเตือนไฟไหม้อ่ะ )

แกเลือก "สีลม" ค่ะ!!!!  ทำไมน่ะหรอ?  แกให้เหตุผลแบบนี้ค่ะ ...

"แหม อายุก็ 20 ปลายๆแล้ว  เรื่องการหาคู่ก็เป็นเรื่องสำคัญ ... ไอ้ครั้นจะอยู่แต่โรงงานแถวสมุทรปราการ  หรือ อมตะนคร  ตัวเลือกมันน้อย โอกาสเจอคนถูกตาต้องใจมันก็น้อยตาม  ดังนั้น  สีลมนี่ล่ะ  ตอบโจทย์!! เงินเดือนน้อยกว่าหน่อย  เดินทางไกลหน่อย  แต่ก็โอเค๊"

ฟังเสร็จไอ้เราก็ขำ ... เออ มีการตัดสินใจเลือกงานแบบนี้ด้วยวุ้ย ... แต่ก็เออนะ  มันเป็นเรื่องจริงอ่ะ  ซึ่งเรื่องเนี้ยะ มันก็พันไปกับเรื่องของ Generation นะคะ ... สมมติว่า Spec ที่คุณต้องการจะจ้างเนี่ย เป็นเด็ก Gen Z  เฮ้ย คุณต้องเข้าใจเค้านะ ว่า เค้ามีความต้องการอะไร  มีลักษณะนิสัยเป็นอย่างไร  ไม่งั้นดึงดูดยาก  อยู่กันลำบาก ... ในทำนองเดียวกัน  สมมติคุณอยากได้คนมีประสบการณ์หน่อย แต่ไม่ได้ Senior มาก  เป็นคน Gen Y  คุณต้องรู้นะว่า  คน Gen นี้ ปัจจุบันอายุอยู่ประมาณเท่าไหร่  มีความต้องการอย่างไร  ... เพื่อคุณจะได้มาคิดต่อว่า คุณจะ Attract เค้าอย่างไร

อย่างไรก็ตามนะคะ ... ถึงแม้คุณจะเข้าใจในส่วนนี้แล้วว่า "เงิน" ไม่ใช่สิ่งเดียวที่คุณจะสามารถดึงดูดบุคคลากรที่มีความสามารถให้มาอยู่กับคุณได้  แต่คุณก็ลืมไปไม่ได้นะคะว่า "เงิน" ยังคงเป็น "ปัจจัยที่สำคัญ" อยู่ ดังนั้น  คุณจะ Cool แค่ไหน  แต่คุณจ่ายต่ำกว่าตลาดมากๆ  ก็ไม่มีใครเค้าอยากมาอยู่ด้วยอ่ะค่าาาาาา  ( หงีว่า ตรงนี้ก็แสดงถึง Mindset ของความแฟร์นะ  คือ ถ้าคุณจ่ายถูกมากๆ คือคุณกะเอาของถูกอย่างเดียวเลย  หงีว่า มันไม่ใช่อ่ะ )

นอกจากนี้ ... หงีอยากเพิ่มเติมในส่วนของการ Engage หรือ  การรักษาพนักงานให้อยู่กับเราไปนานๆค่ะ ... ทราบมั้ยคะ  คนเรานั้นประกอบไปด้วย 4 ส่วน คือ Body, Mind, Heart และ Spirit  ( ร่างกาย, สติปัญญา , ความรู้สึก, จิตวิญญาณ)  ดังนั้น  ในการดูแลคน  แม้คุณจะจ่ายอย่างเหมาะสมแล้ว  ให้สวัสดิการที่เป็นการดูแล "ร่างกาย" เค้าแล้ว  ก็อย่าได้ลืมในส่วนอื่นๆด้วย ... คือ ย้อนกลับไปที่ Core ค่ะ  "คุณต้องเข้าใจเค้า" ... บางท่าน มาทำงาน  นอกจากเงินแล้ว เค้าก็ต้องการพัฒนาในเรื่องของสติปัญญา  คุณได้ Engage เค้าในส่วนนี้ไหม?  คือ ได้ให้งานที่ Challenge ความสามารถในด้านการคิดของเค้า หรือ ให้เค้าได้เรียนรู้มากขึ้นเรื่อยๆจากงานที่คุณมอบหมาย,   บางท่าน พอใจกับเงิน พอใจกับการพัฒนาแล้ว  แต่ต้องการการดูแลทางความรู้สึกที่ดี  คุณได้ดูแลเค้าหรือยัง?  หรือยังพูดจาหักหาญน้ำใจกันอยู่ประจำ  ไม่ให้ความสำคัญกับเค้า หรืออะไรต่างๆ

มาถึงตรงนี้ ... หงีเชื่อว่า  คุณคงพอจะเข้าใจแล้วว่า  "ค่าตอบแทน ... เท่าไหร่ถึงจะพอดี" มันไม่มี Absolute Number ... มันขึ้นอยู่กับว่า คุณกำลังจะจ้างใครต่างหาก ^^  หลักสำคัญ ก็คือ การเข้าใจคน  และรู้ว่า  เราสามารถให้อะไรได้บ้างที่ไม่ใช่เงิน 

ในทางกลับกัน ... สำหรับคนที่เป็นพนักงานอยู่ ... คิดให้ดีๆค่ะ ว่าปัจจุบันองค์กรเค้าดูแลเราเป็นอย่างไรบ้าง ... โดยเฉพาะถ้าหากใครที่คิดว่าอยากจะเปลี่ยนงาน หรือ มี Offer ใหม่ๆมา ... มอง Total Package ค่ะ   คิดให้ถี่ถ้วน  ทั้งหมดที่คุณจะได้รับทั้งที่เป็นตัวเงินและไม่ใช่  รวมไปถึงการพัฒนาและการดูแลในแง่มุมอื่นๆด้วย

เช่นเคย ... หงีหวังว่า Post นี้ จะเป็นประโยชน์กับทุกท่านที่จะเข้าใจเรื่องของค่าตอบแทนมากขึ้น ทั้งทั้งเป็นพนักงาน ผู้บริหาร หรือ เจ้าของกิจการ :)

สุดท้ายนี้  ...  เมื่อวานนี้เป็นวันเกิดหงีค่ะ ^^  ... ขอบคุณค่ะสำหรับคำอวยพร ( ยัง! ฉันยังไมได้คิดอะไรเลย  คนอ่านกล่าว )  คืองี้ ... หงีมีโอกาสได้ดูหนังเรื่อง Notting Hill ... เก่าดิ  โบราณดิ ... ใช่ ... แน่นอน นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่หงีได้ดูหนังเรื่องนี้หรอก ... แต่รู้มั้ย  หงีรู้สึกเหมือนพึ่งได้ดูหนังเรื่องนี้ครั้งแรก!!! เพราะหงีพึ่งเข้าใจเนื้อหา อารมณ์ และสิ่งที่หนังอยากจะสื่อ!!!  555+  เชื่อมั้ย ... ทั้งเรื่อง  หงีจำได้แค่ฉากที่มีผู้หญิงคนหนึ่งบอกว่า ตัวเค้าเป็น Fruitarian ผู้ซึ่งไม่รับประทานเนื้อสัตว์ และกินเฉพาะพืชผักผลไม้ที่ตกจากต้นโดยธรรมชาติเท่านั้น  โดยการเด็ดผักผลไม้จากต้นโดยไม่ปล่อยให้หล่นเองถือเป็นการ ฆาตกรรม!!!! ( บ้าที่สุด ... แล้วไอ้ฉากน่ารักที่พระเอกดึงเวลาให้นางเอกอยู่กับเค้าให้นานที่สุดโดยชวนดื่มนู่นนี่ ทำไมจำไม่ได้!!)

เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ... ประสบการณ์  จะเป็นตัวช่วยทำให้เราเข้าใจเรื่องราวต่างๆ ... เช่น ก่อนหน้านี้  หงีคงดูเรื่อง Notting Hill ตอนเด็กมากๆ  ( แน่ล่ะ หนังปี 1999 อ่ะค่ะ )  หงีถึงไม่เข้าใจความโรแมนติก ความอบอุ่น ความน่ารักของการตกหลุมรัก ... แต่พอเมื่อวาน ( แน่นอน ... ปีนี้ก็ 32 ละ)  หงีเข้าใจทั้งหมด และเห็นว่า หนังเรื่องนี้นั้นเป็นหนังที่ดี  และอบอุ่นมากๆ

ซึ่งสอดคล้องกับคามเชื่อของคริสเตียนเราที่ว่า   พระเจ้ามีแผนการสำหรับเราทุกคน และทุกสิ่งที่เกิดขึ้นกับชีวิตเราคือสิ่งที่ดีที่สุดแล้ว ... เรื่องนี้ ได้ตอกย้ำความเชื่อนี้... หงีไม่มีวันเข้าใจอะไรหลายๆอย่างถ้ายังไม่ถึงเวลา ... ในตอนเป็นเด็ก ยังไม่ต้องเข้าใจเรื่องความรัก  เราก็ไม่เข้าใจ ... เมื่อถึงเวลาที่สมควรแล้ว  เราก็จะรู้และเข้าใจทุกอย่างเอง :)

ขอบคุณที่อ่านจนจบ ... ขอพระเจ้าอวยพรทุกท่านค่ะ^^


Monday, May 16, 2016

เคลียร์ ชัด จริง ... สิ่งที่ CEO ต้องมี

ฮ้ายยยย ... เรามาเขียนเพิ่มอีกแล้ว ^^  เขียนสรุปซักหน่อยก่อนจะเข้าการเรียน Week ใหม่ กับอาจารย์ท่านใหม่
ในสัปดาห์ที่ผ่านมา ... หงีคิดว่า สิ่งที่หงีอยากจะเขียน และเชื่อว่าเป็นหัวใจสำคัญในการดูแลคนจำนวนมากที่อยู่ในองค์กรเดียวกัน ให้เดินด้วยกันได้ เดินไปกับองค์กรได้  และนำพาองค์กรให้ไปในแนวทางที่ต้องการ ... นั่นคือ ตัว CEO เอง

อันดับแรกเลย CEO ต้องมี Vision ที่ชัด .. คุณจะเอาอะไร?  เป้าหมายในการทำธุรกิจของคุณคืออะไร?  ภาพที่คุณเห็นในอนาคตเป็นอย่างไร  และปัจจุบันนี้ คุณอยู่ตรงไหน ... เพื่ออะไร? 

1. เพื่อให้คุณทบทวนว่า แท้จริงแล้ว คุณเข้าใจตัวคุณเองดีจริงหรือเปล่า? คุณมีเป้าหมาย และเข้าใจธุรกิจของคุณจริงไหม?

2. เพื่อ Clear ความเข้าใจให้ตรงกันระหว่าง "คุณ" กับ "คนของคุณ"
    มนุษย์ไม่โง่ค่ะ  พระเจ้าประทานความสามารถในการคิดและเข้าใจมาในตัวของมนุษย์ทุกๆคน ... ดังนั้น  การที่เค้าเข้าใจว่า คุณต้องการอะไร? และตอนนี้เค้าอยู่ตรงไหน? แล้วจะต้องมุ่งหน้าไปทางไหน อย่างไร? เป็นสิ่งสำคัญมาก

ซึ่งถัดจากในเรื่องของ Business แล้ว ... การที่องค์กรต้องการ "คนอย่างไร" ( Type of people / Competency / Character / Behavior ) เป็นสิ่งที่คุณก็จะต้องเข้าใจด้วยเหมือนกัน
1. จากเป้าหมายที่ตั้งไว้ ... คนของคุณต้องมีศักยภาพด้านไหน ขนาดไหนบ้าง?
2. พฤติกรรมของคนในองค์กรที่คุณต้องการนั้น  เป็นอย่างไร  ... เพื่อความสุขสบายใจในการอยู่ร่วมกันค่ะ  ยกตัวอย่างเช่น  ถ้าองค์กรของคุณเป็นองค์กรที่ต้องการคน active มากๆ  มี ambition  แต่คุณดันรับคน Chill เข้ามา ... ถามว่า  มันจะเดินไปด้วยกันอย่างไร?
3. การที่จะให้เค้าอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข  ทำงานเป็นทีมได้  และเดินไปกับองค์กรได้  เค้าต้องเป็นคนอย่างไร?  ยกตัวอย่างเช่น  คุณต้องการให้คนในองค์กรมีน้ำจิตน้ำใจให้แก่กัน  มีความสัมพันธ์ที่ดี  เอาใจใส่ซึ่งกันและกัน  ถามว่า  ถ้าหากตอนคุณรับ คุณดูแต่ความสามารถ โดยไม่ให้ความสำคัญกับคุณค่าเรื่องนี้  มันก็ยากเหมือนกันนะคะ ที่จะถูกหวย แทงได้คนที่มีน้ำจิตน้ำใจอย่างที่ต้องการได้

สุดท้าย ... "คุณเป็นคนอย่างไร" เป็นสิ่งสำคัญมากๆค่ะ ... เคยได้ยินไหม?  หัวเป็นอย่างไร หางก็เป็นอย่างนั้น ... ตามนั้นเลย ... ป่วยการที่คุณจะสอนลูกน้องให้ขยัน  แต่ตัวคุณเองยังขี้เกียจ ... ป่วยการที่คุณจะสอนให้ลูกน้องซื่อสัตย์  แต่ตัวคุณเองยังมีวิธีการทำธุรกิจแบบเทาๆ ... ป่วยการที่คุณจะต้องการให้ลูกน้องมี Long term relationship กับองค์กร  ในขณะที่ตัวคุณเองยังทำธุรกิจแบบตีหัวเข้าบ้าน ... Character ของคุณ เป็นสิ่งสำคัญทั้งสิ้น  มนุษย์นั้น เดินตาม "การกระทำ" ไม่ใช่ "คำพูด" ... ดังนั้น คุณควรสำรวจตัวเองให้ดีว่า คุณมีทัศนคติอย่างไรในแต่ละเรื่อง  ทั้งศีลธรรมคุณค่าภายในจิตใจ  การดูแลคน  การทำงาน  การเคารพคนอื่น  การมีน้ำจิตน้ำใจกับคนอื่น ... เหล่านี้ สำคัญทั้งสิ้นค่ะ ... โดยมัน Fake ไมได้ :)

มนุษย์เกิดมาพร้อมกับสัญชาติญาณ .. หากในระยะแรก  เค้าจะยังจับไม่ได้ว่าคุณ fake ... แต่ไม่นานนักหรอก  เค้าจะจับได้เอง ... สันดาน ( ขออนุญาตใช้คำนี้เลย ) มันเปลี่ยนยาก ... อะไรที่มันไม่ Real มันทำไ้ด้ไม่นาน

ในบรรดา 3 ข้อที่เล่ามา ... หงีเน้นข้อที่ 3 ที่สุดค่ะ .. นั่นคือ Character และ Value ที่คุณ CEO ยึดเหนี่ยว ... ถ้าหากวันนี้  เมื่อทบทวนตัวเองแล้ว คุณพบว่า ยังมีทัศนคติในการทำธุรกิจ ในการดูแลคนไม่แฟร์  ... กรุณาปรัปรุงเสีย ... Sustainable Business นั้น หงีเชื่อเหลือเกินว่า นอกจากของดี ของโดนแล้ว Good Sincere Relationship นั้นสำคัญมาก

โพสต์นี้ ... เป็นการกลั่นกรองจากการเรียน และความเข้าใจจากการหาข้อมูล และประสบการณ์ของหงี ... หงีหวังว่า มันจะมีประโยชน์ต่อคุณผู้อ่านนะคะ ^^

สุดท้ายนี้ .. ขอขอบคุณ คุณ Mak Chew Camon ; Executive Director ; PacRim Group Thailand ... ผู้ซึ่งสละเวลา Coach แบบ One - on - One ในขณะที่หงีได้ใช้เวลาที่มีค่ามากๆที่ PacRim  ....  คุณมาคสอนสิ่งที่วิเศษหลายอย่าง  โดยคำสอนที่เปลี่ยนชีวิต และเปิดโลกของหงีเกี่ยวกับ Management & Leadership ที่สำคัญที่สุดคือ "Walk The Talk" ... หงีคิดว่า  วลีนี้อธิบายทุกอย่างแล้วจริงๆ

Thank you my reader ^^

ngee

รูปนี้อธิบายหัวข้อแรก :  ถ้า Direction คุณไม่เคลียร์  องค์กรคุณก็เดินแบบมั่วๆซั่วๆแบบรูปทางซ้ายค่ะ




Thursday, May 12, 2016

เข้าใจ 'HR' ซะใหม่ให้เลิกเชย

ฮ้ายยยยยย.... หงีไงงงงงงงงงง ;p
มาต่อกันตอนที่ 2 แล้วนะ ในเรื่องของ HR หุหุ ... ก็แบบนี้แหละ  มีไรน่าสนใจที่คิดว่ามีประโยชน์ ก็อยากจะเอามาแชร์นะ

เราคงปฏิเสธไม่ได้นะคะว่า ทุกธุรกิจ วันนี้ สิ่งที่สำคัญที่สุด คือ "คน" ... เพราะ "คน" คือ ผู้ขับเคลื่อนองค์กร ...  "คน" คือ เหตุผลที่เราดำเนินธุรกิจกันอยู่ทุกวันนี้

ดังนั้น ความรู้ความเข้าใจเรื่องคน  โดยเฉพาะในคนระดับ CEO / ผู้บริหาร / เจ้าของ จึงสำคัญมาก ... คุณต้อง "เข้าใจ" จริงๆ  ทั้งคนนอกบ้าน (ลูกค้า , คู่แข่ง, Supplier) และคนในบ้าน ( พนักงานของคุณทั้งหมด)  ... ถ้าไม่เข้าใจคนนอกบ้าน  คุณจะแข่งขันอย่างไร?  และถ้าไม่เข้าใจคนในบ้าน  ... บ้านแตก แล้วองค์กรจะเดินต่อไปอย่างไร?

ในสมัยก่อน สมัยที่คนเรายังไม่มีความรู้มากนัก  สมัยที่โลก เปลี่ยนจาก ยคเกษตรกรรม เป็น ยุคอุตสาหกรรม ... เราต้องการมนุษย์ส่วนใหญ่มาทำงานเพียงเป็น Skill Labor ... แต่ Hello .. โลกมันเปลี่ยนไปแล้ว ... ปัจจุบัน  เราต้องการมนุษย์ทีมีความรู้ความสามารถมากขึ้น  ใช้ความคิดมากขึ้น  เข้าอกเข้าใจคนมากขึ้น ... ทำงานที่มันละเอียด ซ้ำซ้อนมากขึ้น ... และด้วยวิวัฒนาการของมนุษย์  คนที่ฉลาดมากขึ้น ... เค้าก็ต้องการอะไรที่มัน "มากขึ้น" .. แน่นอน  มากกว่า "เงินทอง" แน่ๆล่ะ

จากการเรียนมา 2 Class ( แหม ... เกริ่นมาซะอย่างกะเรียนมาเยอะ ... มองบน )  บวกกับการหาข้อมูลเพิ่ม และวิเคราะห์เอง ก็ได้ความรู้เรื่อง สถานการณ์ปัจจุบันของเรื่องทรัพยากรมนุษย์ และ งานที่เปลี่ยนไปของ HR  ซึ่งก็จะขอสรุปให้ฟังคร่าวๆ ดังนี้

1.  Globalization - Talent Scarcity
     เพราะโลกมันแคบลงค่ะ :) รวมถึง  ความสะดวกในด้านกฎหมาย ที่ คนเก่ง สามารถทำงานได้ทั่วโลก ในขณะที่ การแข่งขันทางธุรกิจก็รุนแรงยิ่งขึ้นๆ ทำให้ Demand ของคนเก่งนั้นมีมาก ในขณะที่ โลกนี้ สร้างคนเก่งมาไม่ทัน  และแถมยังไม่พอ  คนเก่งยัง Move ไปนู่นไปนี่ไ้ด้ตามใจ  เค้ามี Choice มาก  ดังนั้น  วันนี้ ... คุณต้องลองคิดล่ะ .. ทำไมคนเก่งเหล่านั้นต้องมาอยู่กับคุณ?  อ่ะคิดให้ดีๆ

2.  Who to acquire?
     เอาล่ะ ในข้อนี้ ... จริงๆต้องเริ่มตั้งแต่คุณสำรวจ องค์กร และตัวคุณเองก่อนเลย .. คุณต้องมี Vision & Direction ให้แน่ ... องค์กรคณต้องการจะไปยังไง  และคุณต้องการคนแบบไหน .. ซึ่งมันไม่ใช่แค่ด้าน ความสามารถหรอก  ด้านคาแรคเตอร์ คุณก็ต้องคิดถึงด้วย ... คุณอยากได้มั้ย?  คนเก่งมากๆ แต่ทำงานเป็นทีมไม่ได้น่ะ?  หรือเก่งมาก ทำงานเป็นทีมได้  แต่มาทำงานเพื่อแลกเงินโดยเค้าไม่ได้ให้ใจกับองค์กร

3. How to engage?
    อย่างที่บอกนะคะ ... คนเก่งมันขาดแคลน ... ถ้าหากคุณไม่เข้าใจเค้า  ต่อให้ Step แรก  คุณเอาเค้ามรร่วมงานได้  แต่บอกเลย  Engage มันเป็นอีกเรื่องเลยนะ ... คุณต้องเข้าใจมนุษย์ปัจจุบัน ว่า เค้าต้องการอะไร?  และคนแต่ละคนเองจริงๆแล้วก็มีความต้องการ  มีแรงจูงใจ  มีเป้าหมายชีวิตที่ต่างกัน ... นี่ยังไม่นับรวม วัยที่ต่างกัน  ก็ทำให้มีความชอบ  มีความจำเป็น  มีความต้องการที่ไม่เหมือนกันด้วย .. ซึ่ง คุณ  จะต้องตีโจทย์ให้แตกว่า เค้าต้องการอะไร?

4. งาน HR ไม่ใช่แค่ทำเงินเดือน  วันลา ดูแลกฎระเบียบ แต่เป็น Total Package ในการดูแลคน
    งานด้านทรัพยากรมนุษย์ในปัจจุบัน ... มันเริ่มตั้งแต่ คุณต้องเข้าใจตัวธุรกิจของคุณ  รวมถึงต้องเข้าใจ Stage ในปัจจุบันที่ธุรกิจอยู่  รวมถึง Vision และ Direction ด้วย  ถึงจะรู้ว่า  บริษัท ต้องการคนแบบไหน  หลังจากนั้น  ก็ต้องทำความเข้าใจด้วยค่ะว่า คนประเภทนั้นน่ะ  เราจะดึงดูดเค้ามาร่วมงานกับเราได้อย่างไร  และเมื่อเค้าเข้ามาแล้ว  ก็ต้องดูแลผลประโยชน์ แนวทางในการพัฒนา  รวมถึงมองทางในการเจริญเติบโตให้เค้าด้วย  ... ไม่ใช่แค่  ลงประาศรับสมัคร รอคนมาสมัคร สัมภาษณ์  สักแต่รับๆมาโดยดูแค่ความสามารถในการทำงาน  แล้วหลังจากรับมาแล้ว ก็ปล่อยให้ทำงาน โดยไม่เคยมาดูดำดูดีว่า เค้ายังทำงานอย่างมีความสุขมั้ย?  เค้าอยากจะโตไปแบบไหน?  ผลประโยชน์อะไรต่างๆที่ให้กับเค้า มันแฟร์หรือเปล่า ... เรียกง่ายๆ คือ  คิดตั้งแต่จะดึงดูดอย่างไร  เมื่อได้เค้ามาแล้ว ก็ต้องมีแผนการดูแลและพัฒนาให้เค้าเก่งขึ้น  อยู่ได้อย่างมีความสุข และทำงานที่ดีให้ริษัทไปยาวๆ

5. Talent Mobility
     ข้อนี้  หงี Buy in มากๆ  หงีเชื่อว่า มนุษย์ นั้นมีศักยภาพมากเหลือเกิน  และเราจะทำอะไรก็ทำได้ .. ดังนั้น  หงีเชื่อมากว่า  คนเก่ง  ให้ทำอะไรก็ทำได้ ... เพราะฉะนั้น HR สมัยใหม่ เค้าจึงบอกว่า  ให้เอาคนเก่งไปลองทำงานต่างๆ อยู่ในตำแหน่งต่างๆ ให้หลากหลาย  ในมุมหนึ่ง ก็คือให้เค้าได้ลองเพื่อให้ได้รู้  เพื่อจะได้เข้าใจตัวเองมากขึ้น ว่าชอบอะไร ไม่ชอบอะไร  อะไรเหมาะ อะไรไม่เหมาะ  และในอีกมุมหนึ่งก็คือ  เอาคนเก่งๆไปงานในหลายๆด้าน  มันก็ได้งานดีๆในหลายๆด้านนั่นแหละ

6. IT play important role  ( ข้อนี้  เหล่า StartUps ข้ามได้เลยนะคะ )
    ถ้าคุณเข้าใจมนุษย์   ข้อนี้ เข้าใจไม่ยากหรอกค่ะ ... คนปัจจุบันมันเปลี่ยนไปแล้ว  Lifestyle ติดอยู่กับ Mobile & Social Network มาก และ IT  ไม่ใช่ยาขมอีกต่อไป ... ดังนั้น  การ Attract Talent จึงสามารถทำผ่าน Social Network ก็ได้  เช่น  การสร้าง Brandให้น่าสนใจ ให้คนเก่งๆ อยากจะมาทำงานกับเรา ... ไปจนถึง  การใช้ Social Network เช่น FB page ของบริษัทในงาน HR  อย่างเช่น จะประกาศคุณงานความดีใคร ก็ทำมันลงบนเพจของบริษัท  อะไรงิ ... รวมไปถึงการมองหา Talent ผ่านทาง Linkedin เป็นต้น

7.  Re-skilling HR
      การปรับทักษะ  ก้าวตามให้ทันโลกอยู่เสมอค่ะ ... อะไรเป็น Best Practice , Best Tool หูตาสมอง ต้องไว ต้องกว้างไกล   และต้องเป็นคนทันโลก ทันพฤติกรรมมนุษย์ค่ะ

เฮ้ยยาวอ่ะ ... ไม่คิดว่า นอกจากเรื่องหุ้นแล้ว จะสามารถเขียนอะไรได้ยาวๆแบบนี้  555+

ลองดูนะคะ  จริงๆ Post นี้  หงีคิดว่าคนที่ได้อ่านเยอะๆ น่าจะเป็นพวก เจ้าของ  CEO หรือ ทั่นผู้บริหาร ทั้งหลาย ... คุณควรจะเข้าใจเรื่องการดูแลบริหารจัดการคนให้ถูกต้องได้แล้ว  ...  คุณควรมี Mindset ที่ถูกต้องเรื่องคนด้วย  คุณควรรู้ว่า มนุษย์นั้นฉลาดและมีศักยภาพมาก ... อย่า Attract คนเก่ง  โดยไม่ดูคาแรคเตอร์  หรือเมื่อได้เค้ามาแล้ว ก็อย่าปล่อยปละละเลย ไม่ดูแลจิตใจ  ไม่สนใจอนาคตเค้า ... คนเก่ง อยู่ที่ไหน ทำอะไรก็ได้นะคะ :)

เอาล่ะ  เลิกเชย แล้วลองสำรวจวิธีคิดตัวเอง  และ องค์กรตัวเองได้แล้ว

หงีหวังว่า  โพสต์นี้จะมีประโยชน์เช่นเคย ^^

Good night world



   

Tuesday, May 10, 2016

Human Resource Management และ HR in M&A Case :)

Halo หงีเอง :) จำกันได้มั้ย?  ... ยังน่าาาาา ยังไม่ตายยยยย  แค่ไม่ได้เขียนนาน 555+

ที่ไม่ได้เขียน ก็ไม่ใช่อะไรนะคะ ... ไม่มีเรื่องที่คิดว่าน่าสนใจอยากจะแชร์  ... แต่วันนี้ค่ะ  หงีกลับมาแล้ว!!! หึหึหึ ... ในหัวข้อ ที่ถือว่า เป็นเรื่องใหม่อีกเรื่องของชีวิต นั่นก็คือเรื่องของ Human Resource Management

แต่ไหนแต่ไรมา  ไม่เคยสนใจนะคะเรื่องของคนเนี่ย ... มาจากสาย Finance ค่ะ  ... และงานที่ทำก่อนสาย Finance นั้น  ก็ .. คือตอนนั้น เด็กมาก  ไม่สนใจหรอกค่ะ  บริหารทรัพยากรมนุษย์อะไร

ด้วยเนื้องานในสาย Finance เป็นการ วิเคราะห์ธุรกิจ ... การประเมินมูลค่ากิจการ .. ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นการวิเคราะห์ทาง Business ทั้งสิ้น  โดยไม่ได้แตะถึงเรื่องคนเท่าไหร่นัก

อย่างไรก็ตามค่ะ  เริ่มสนใจ และให้ความสำคัญ เมื่อทำ VC ค่ะ... ในตอนนั้นมีคำถามนึง ที่เอ๊ะ ขึ้นมาในใจว่า เฮ้ย ไอ้กิจการที่เรากำลังประเมินอยู่เนี่ย จริงๆแล้ว  สิ่งที่เป็นหัวใจหลัก คือ "คน" นะ ... ถ้าขาด "คนที่มีความสามารถ" หรือ ผู้บริหาร หรือ CEO คนปัจจุบันไปแล้ว  ก็เท่ากับ พื้นฐานธุรกิจเปลี่ยนเลยนะเว่ย!!!

นั่นเป็นแค่ เอ๊ะ แรก .. แต่ก็ไม่ได้เอาจริงเอาจังอะไรกับเอ๊ะนั้น ...  ต่อมาค่ะ .. พระเจ้า ได้ให้โอกาสเข้าไปเรียนรู้งานในบริษัทที่ปรึกษาทางด้านการพัฒนาบุคคลากร  หรือ HR Consult นั่นแหละ  ... แต่เจ้าเนี้ยะ เค้าเน้นสาย Training & Development  ไม่ใช่สาย "ประเมินศักยภาพ" หรือ "ค้นหา Core Competency"

แล้วก็ได้เริ่มเห็นเลยค่ะว่า  บริษัทใหญ่ๆนั้น  ให้ความสำคัญกับเรื่องของ HR แค่ไหน ... และทำไม บริษัทเหล่านั้นถึงให้ความสำคัญเรื่องคน

Logic นั้นเลย ... ธุรกิจ มันจะขับเคลื่อนไปได้  ก็เพราะ "คน" ... ถ้าหากองค์กรมี "คนเก่งมีความสามารถ และมีศักยภาพ" ซึ่งเป็น "คนดี" คนรักองค์กรแล้วเนี่ย ... บอกได้เลย  มันยิ่งกว่ากระโดดซะอีก!!!

จากที่นี่ เราเริ่มสังเกตุบริษัทหลายๆบริษัท .. แล้วก็ได้เห็นเลยว่า ในบริษัทที่มีปัญหาเรื่องคน  เช่น  คนขาด,  ศักยภาพพนักงานไม่สอดคล้องกับความต้องการขององค์กร  หรือแม้กระทั่ง  การ Engage พนักงานเก่งๆไว้ไม่ได้  นั้นเนี่ย ... มันหายนะขนาดไหน ... บางบริษัท  ถึงกับต้องปิดตัวลงเลยก็มีนะคะ  i_i

ปัจจุบัน ... เมื่อมาดูแลกิจการส่วนตัว  ( ออกตัวก่อน ... เป็นกิจการที่มีหุ้นส่วนนะ  ไม่ใช่ของเราคนเดียว) ... เราแบ่งงานกันทำ  ... แต่ในส่วนของ IT/ Analysis / HR ไม่มีใครทำ ... เราก็ รับหน้าที่  ในโทษฐานที่มีความรู้และประสบการณ์ด้านนี้ ... มากกว่าคนอื่น หน่อยนึง  i_i

หงีเห็นว่า  เรื่องที่เป็นสิ่งสำคัญมากและต้องทำเร่งด่วน คือเรื่องของคนเลยค่ะ ... บริษัทเรา อยู่ใน Step กำลังเติบโต  ดังนั้น  การคัดเลือกคนที่เดินไปกับเราได้  พัฒนาเค้า  และ Engage เค้า เป็นเรื่องที่สำคัญมาก  และเป็น Challenge ที่หงีสนุกกับมัน และต้องการจะทำให้สำเร็จ ให้ได้ดีที่สุด ... หงีทำอยู่ซักพักใหญ่แล้วค่ะ แล้วก็เลยคิดว่า เฮ้ย ถึงเวลาละ  ต้องหา "หลัก" และ ต้องเข้าใจมันจริงๆซักที

วันนี้ ... เป็นวันแรก ที่หงีเข้าเรียน Mini Master in HR Management ของ จุฬาลงกรณ์  ... วันนี้ ปูพื้นเรื่อง Strategic HR คืออะไร  ... ซึ่งมันไม่เกินความเข้าใจของคนที่เป็น Management หรอกค่ะ ( นี่นั่งคิดอยู่นานนะว่า ใช้คำนี้ มันจะดูโอ้อวดโอหังไปไหม ... แต่ ... มันคือ คำที่เคลียร์ที่สุดละ .. ขออนุญาตใช้ละกันนะคะ) ... มันคือ  การความต้องการด้านมนุษย์ของบริษัทนั่นแหละ  ที่ ต้องการคนแบบไหน ให้สอดคล้องกับเป้าหมาย และแนวทางในการทำธุรกิจ

สิ่งที่มนุษย์สาย  Non People อย่างเรา ... พึ่งได้ทราบวันนี้เองค่ะว่า อันที่จริงแล้ว งานด้าน HR นั้นมี วิวัฒนาการ นะคะ
1. ในยุคแรกๆ  HR มีหน้าที่ดูแลเรื่องของ เงินเดือน วันลา Benefit อะไรต่างๆ ซึ่งเป็นงานด้าน Admin ทั้งสิ้น
2. เมื่อเวลาผ่านไป  HR ก็เริ่มเป็นตัวกลาง ในการเชื่อมให้มีปฏิสัมพันธ์ การสื่อสาร การแชร์ Knowledge อะไรต่างๆในองค์กร เพื่อเกิดการทำงานร่วมกันได้ดีขึ้น
3. ในยุคถัดมา ... HR ,มีหน้าที่ บริหารทรัพยากรมนุษย์  ให้ใช้ประโยชน์ได้สูงสุด  คือ  คนๆนึง ใช้ให้คุ้มอ่ะ
4. ยุคปัจจุบัน ... HR เป็น Human Capital Management ... การใช้คำว่า Capital นั้น ... ในฐานที่อยู่ในสายลงทุน  มันทำให้เราเห็นภาพว่า  มนุษย์ นั้น เหมือนกับ "ทุนทรัพย์" ... ซึ่งคือ สิ่งตั้งตั้นที่เรานำไปลงทุน ให้งอกเงยขึ้นมา ... นั่นหมายความว่า เมื่อ 'ใส่' เค้าลงไปในธุรกิจแล้ว เค้าทำให้ออกดอกออกผลงอกเงยเป็นจำนวนมาก ... คน 1 คน  เราสามารถ Train & Develop รวมถึง Unleash ศักยภาพของเค้าออกมา  เพื่อทำให้ผลของการลงทุนนนั้นงอกเงยมากๆได้  ( เฮ้ย ... ทำไมฟังดู  มันไม่ค่อย People Oriented เลยวะ ... เอาน่ะ  มันแค่ภาษา  ... แต่ Mindset ของหงี คือ  หงีรู้นะว่า มนุษย์ คือ มนุษย์ คือ มีชีวิตจิตใจและความคิด ไม่ใช่แค่ "ทรัพยากร" ที่ต้อง Squeeze เอาออกมาให้ได้มากที่สุด :))

นอกจากนี้ ... งานที่สำคัญของ HR ในปัจจุบันนั้น  ไม่ใช่การทำงาน Admin คือ พวก Payroll วันลา Benefit อะไรต่างๆละ  ... แต่เป็น
1.  Performance Enhancement  คือการพัฒนา และ ปลดปล่อยศักยภาพ ให้เค้าทำงานได้ดียิ่งๆขึ้นไป
2.  HR Strategy คือ  การหา ดูแล และพัฒนาคน ให้ Align ไปกับ Direction ขององค์กร

มาถึงตรงนี้ ... หงีว่า  Concept มันง่ายนะ ... แต่สิ่งสำคัญ คือ การนำไปปฏิบัติ หรือ Execution ต่างหาก ... CEO หรือ ผู้บริหารหลายคน ... ยังมี Mindset ที่อาจจะไม่ถูกต้องนักอยู่ คือ  ไม่ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้  และขาดความรู้ความเข้าใจเรื่องคนอยู่มาก!!!!

วันนี้ จะขอเกริ่นนำแค่นี้แหละในเรื่องของ Basic Understanding ... แล้วจะขออนุญาตมาเล่าเพิ่มเติมในตอนต่อๆไป

สุดท้ายนี้ จะขอจบด้วย Case HR in M&A ค่ะ :) ( รู้นะ ... รออ่านอยู่  หึหึ )

พอดีอาจารย์ท่านเคยอยู่บริษัท HP นะคะ  ซึ่งเป็นบริษัทนึงที่มีการซื้อ ควบรวมกิจการอยู่หลายๆครั้ง และแกก็อยู่ในช่วงเวลาเหล่านั้นพอดี  ... หงีเลยยกมือถามแก  ให้แกแชร์ค่ะ ว่า  ในตอนที่ HP นั้น ซื้อบริษัทชื่อ EDS  นั้น  งานของ HR ต้องทำอะไรบ้าง?

แกเล่าคร่าวๆค่ะ และเล่าเร็วมาก  '-_-! ( คงกลัวเวลาหมด )  .... แกบอกว่า ในตอนนั้น ทีม HR เอง  ต้องไปศึกษาค่ะว่า  Culture ของ EDS เป็นอย่างไร  คนของเค้าเป็น Type ไหน และใครที่เป็น Critical Person  ซึ่งก็คือ  คนที่ขาดเขาไม่ได้ ธุรกิจจะเดินไปไม่เหมือนเดิมหากไม่มีคนเหล่านี้ i_i

จากนั้น จึงศึกษาคนที่เป็น Critical Person เหล่านี้ .. แน่นอนล่ะ เค้าเป็นคนแบบไหนเอย (Type) , เค้ามีวิธีคิดและทัศนคติอย่างไรเอย (Mindset) , ความต้องการเอย (Needs&Want) , รวมไปถึง แรงจูงใจของเค้าในการทำงานโดยรวม ( Motivation)  และการทำงานที่ EDS เอย ...  เพื่อที่จะเข้าใจคนเหล่านี้ให้ดี .. แล้วจึงพยายามเจรจา, Offer และ Engage พวกเค้าให้ยัง Run Business อยู่หลังจาก Merge กันให้ได้!!! ( เฮ้ย ... แค่ฟังก็เหนื่อยละ ... ทำความเข้าใจมนุษย์เนี่ยนะ????  ไม่ง่าย และชวนปวดหัวแน่ๆ i_i )

ส่วนคนอื่นๆที่ไม่ใช่คนเหล่านี้ ... ก็ ยื่นขอเสนอไป .. อยู่ก็อยู่  ไม่อยู่ ก็ไม่ซีเรียส

นี่คือ สิ่งที่แกเล่า ... เออ  เข้าใจ Concept นะ ... แต่ หงีคิดว่า ของจริง แม่ง Technical เยอะแน่ ... คนที่ทำเรื่องนี้ได้ ต้องเป็นคนที่เข้าใจคน  มีความเข้าใจเรื่องจิตวิทยาที่ดีมากๆ  รวมไปุถึงต้องรู้เทคนิคการต่อรองเจรจา และการจูงใจคน

หึหึหึ ... สนุกดีนะ สำหรับ Class แรก ... Class ต่อไปก็วันพรุ่งนี้ล่ะ ... แล้วมีอะไรที่น่าสนใจ  ก็จะเอามาฝากอีกนะ ... แล้วแวะมาเยี่ยมกันใหม่นะ นะ นะ นะ นะ หุหุ

Good night world :)