สวัสดีค่ะ^^ หุหุ วันนี้เป็นวันสุดท้ายของปี 2558 แล้วนะคะ แล้วตอนนี้ก็เวลา 5 ทุ่มกว่าแล้วด้วย ... คืออีกไม่กี่นาทีข้างหน้า คนข้างนอกก็จะจุดพลุ นับ Countdown ต้อนรับปีใหม่กัน ... แต่หงี ... ด้วยความรักและหวังดีอย่างสุดซึ้งต่อคนอ่าน ( ใช้คำได้เสร่อมาาาาาาก ) จึงได้มาทำตามสัญญา ... แชร์กลยุทธ์ที่น่าสนใจของ "ขงเบ้ง" ต่อ ... ในตอนที่ 2 ค่ะ^^
วันนี้ กลยุทธ์ที่เขียนในหนังสือนั้น ชื่อว่า "เพิ่มมูลค่าบุคคลด้วยสามเยือนกระท่อมหญ้า" ... เนื้อหาในตอนนี้ หงีอ่านแล้ว ก็รู้สึกว่า มันเล่นกับ "จิตใจ" และ "ความคาดหวัง" ดี ... จนหงีไม่อยากจะตัดข้อความอะไรมาก จึงขออนุญาตตัดตอนลอกมาจากหนังสือบางส่วนเลยนะคะ
ถ้ายังจำกันได้ .. ตอนที่แล้ว "ขงเบ้ง" ได้กระตุ้น "ความอยาก" ในการพบหน้าของเล่าปี่ โดยการ PR บวกกับการใช้ "คน" เพื่อตอกย้ำสรรพคุณของตัวเอง ... มาถึงตอนนี้ .... เล่าปี่ "อยาก" พบขงเบ้งมากแล้ว จึงได้ออกเดินทาง เพื่อไปพบขงเบ้งยังที่พักของเค้า
"ระหว่างทางของเล่าปี่นั้น เขาต่างเรียกถามใครต่อใครที่พบเป็นขงเบ้งไปเสียหมด เนื่องด้วยเหล่าผู้คนทั้งหลายในละแวกดอยหลงจงนั้น ล้วนเป็นตัวหมากในสูตรของการ PR แบบฉบับของขงเบ้งทั้งสิ้น ทุกคนต่างให้ข้อมูแก่เล่าปี่ถึงความรู้ความสามารถที่ขงเบ้งมี ค่อยๆโน้มน้าวให้เล่าปี่ เข้าใกล้กระท่อมหญ้าที่หมายไปเรื่อยๆ เพิ่มพูนความคาดหวังให้แก่เล่าปี่ถึงขีดสุด ก่อนเซอร์ไพรส์เขาด้วยการมาเสียเที่ยว!!
การมาครั้งนี้ของเล่าปี่คือการคว้าน้ำเหลว เขาเดินทางไปถึงกระท่อมริมน้ำตก กลางหุบเขาอันสวยงามของขงเบ้งที่ใครๆต่างกล่าวขานแล้ว แต่กลับถูปฏิเสธจากเด็กรับใช้ในกระท่อมนั้นอยางสั้นๆว่า 'อาจารย์ไม่อยู่ ไม่รู้จะกลับมาเมื่อใด' นั่นทำให้เล่าปี่ต้องเดินทางกลับอย่างผิดหวัง แต่ยังไม่ท้อถอยเพราะเขายังคงฝากฝังไว้ว่า ไม่นานเขาจะกลับมาใหม่อีกครั้ง
ซึ่งแท้จริงแล้ว .. ขงเบ้งไม่ได้ไปไหน แต่เขาอยู่ในบ้าน และนี่เป็นเพียงละครฉากแรกที่มีไว้ทดสอบคนอย่างเล่าปี่เท่านั้น ... สิ่งนี้เป็นหมากที่ขงเบ้งวางไว้ เพื่อ "เพิ่มมูลค่าของตน" ต่อยอดจากการ PR ที่กล่าวไปแล้วนั่นเอง
ในจุดนี้ ขงเบ้งได้ "ยกระดับความยาก" ที่เล่าปี่จะมาถึงตัวของเขาให้ซับซ้อนขึ้นไปอีกระดับ กลายเป็นหลักจิตวิทยาที่ว่า 'สิ่งใดที่ได้มายิ่งยากแค่ไหน เราย่อมเห็นคุณค่าของมันมากขึ้นเท่านั้น'
อุบายพิสดารนี้ จะไม่มีทางสำเร็จได้เลย หากว่าการ PR ของขงเบ้ง ไม่สามารถจับใจลูกค้าอย่างเล่าปี่ได้ตรงจุด และขงเบ้งไม่ได้มั่นใจมากพอ เพราะหากว่า เล่าปี่ เกิดล้มเลิกความตั้งใจแต่เพียงเท่านี้ ทุกอย่างก็จบ"
มาถึงตรงนี้ ... หงีอยากหยุด ชวนคิด นิดนึงก่อนนะคะ ... ตอนหงีอ่าน หงีก็ เอ๊ะ! เหมือนกันว่า เฮ้ย! ทำไมมันมั่นใจจังวะ ... แล้วก็หยุดคิดอยู่ซักพัก ... หงีมีความเห็นว่า ... Key สำคัญคือ ตอน PR นั้นเนี่ย ผลงานที่โชว์ออกมา มันคงต้อง "เจ๋งมากๆ" และ ผู้คนที่ช่วยตอกย้ำสรรพคุณ จะต้องเป็น "คนน่าเชื่อถือ" มันถึงจะช่วยกระตุ้นต่อมอยากของเล่าปี่ให้มีมากพอ จะออกเดินทางตามหาบุคคลคนนี้
นอกจากนั้น ... การกระตุ้นทุกระยะที่เล่าปี่เดินทางเข้ามาใกล้ตัวขงเบ้ง ต้องน่าเชื่อถือมากๆ และกระตุ้นได้ถูกจุดมากๆ คือ สรรพคุณของขงเบ้งที่ผู้คนเหล่านั้นบอกกับเล่าปี่ ต้องเป็นสิ่งที่เล่าปี่อยากได้จากตัวคนคนนี้ ... การกระตุ้นนั้น จึงจะได้ผล และช่วยหนุนให้ กลยุทธ์สร้าง "ความผิดหวัง" จะไป "เพิ่มดีกรีความอยากได้" ขงเบ้งของเล่าปี่ให้มากขึ้น
เอาล่ะ ... มาต่อข้อความในหนังสือกันนะคะ ^^
"อันที่จริง ในแง่ของจิตวิทยาบุคคลแล้ว ขงเบ้ง อาจไม่จำเป็นต้องหลบหน้าเล่าปี่เป็นครั้งที่สอง เพราะทั้งความพร้อมและความตั้งใจของเล่าปี่ถือว่า มากเพียงพอที่จะมอบความไว้วางใจให้ แต่หากเราจะกล่าวถึงความพิสดารของขงเบ้ง เขาย่อมมีวิธีคิดที่ไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน เพราะสิ่งที่น่าลุ้นมากเป็นพิเศษ คือ เล่าปี่กลับไปอย่างผิดหวังกว่าเดิมมาก และแทบไม่มีแผนจะกลับมาอีกเลย
การเดิมพันของขงเบ้งครั้งนี้ จึงเดิมพันกันด้วย "เวลา"
เล่าปี่ที่พลาดหวังจะได้พบขงเบ้งมาถึงสองหนนั้น ทั้งท้อแท้และเหน็ดเหนื่อยด้วยวัยที่เกินห้าสิบปีมาแล้ว แต่เมื่อพักผ่อนครั้งใดก็ยังคงคาใจข้างในอยู่ลึกๆถึงขงเบ้งอยู่เสมอมา จึงทำให้เล่าปี่ออกเดินทางไปหาขงเบ้งเป็นครั้งที่ 3 และในครั้งนี้ การ "เพิ่มมูลค่า" และ การ "วัดใจ" เล่าปี่ก็สิ้นสุดลง เพราะหากขงเบ้งไม่ได้พบกับเล่าปี่ในครั้งที่ 3 นี้แล้ว คนที่ผิดหวังอาจจะเป็นขงเบ้งเอง"
คือบับ... อ่านแล้วคิดในใจอ่ะค่ะ ... เออ นี่ถ้าเปรียบเป็น ผู้หญิง นะ ... ขงเบ้งคงเป็นผู้หญิงประเภท สวยมวาาาาาาาาาาาาก งามเลอค่าอมตะ งามล้ำฟ้าล้ำสวรรค์ แถมไม่พอ ยังต้องเป็นผู้หญิงที่มีคุณสมบัติความเป็นกุลสตรีครบถ้วน เก่งทั้งบู๊และบุ๋น ฉลาดไหวพริบดี และอีกจิปาถะที่คงจะต้องมี เพื่อให้ผู้ชายเค้าอยากได้มวาาาาาาาาาาาาาาก ...จนกระทั่งทำให้เค้าเพ้อ ต้องออกตามหา และมิหนำซ็ำยังวางแผน "เพิ่มความอยาก" และ "มูลค่า" โดยการทำให้เค้า "ผิดหวัง" ถึง 2 ครั้ง 2 หน แต่เค้าก็ยังคาใจ!!! ต้องเอามาให้ได้!!!! จนต้องออกตามหาเป็นครั้งที่ 3
โอ๊ว หม่าาาาาาาาาาาาาย ... แค่อานก็เหนื่อย ... แต่ก็นับว่า กลยุทธ์ นี้ ... จริง ถูกต้อง ... และที่สำคัญ สนุก ค่ะ .... อันที่จริงแล้วหงีว่า Factor สำคัญ คือ หากคุณเป็น "ขงเบ้ง" คุณต้องรู้ให้แน่นะคะว่า "เล่าปี่" เค้าอยากได้อะไร (Know your customer) แล้ว PR ให้ถูก ให้เค้ามีข้อมูลให้แน่น ว่า คุณมีคุณสมบัติ หรือ มีสิ่งที่เป้าหมายต้องการจริงๆ (Message) และที่สำคัญคือ สิ่งที่คุณมีนั้นต้อง Unique ระดับประมาณว่า พลาดจากข้า เอ็งก็หาไม่ได้แล้ว หรือไม่ก็หายากมวาาาากอ่ะ ... ถ้าไม่อย่างงั้นแล้ว หงีว่า คุณก็เป็นแค่ผู้หญิงสวยคนหนึ่งที่เค้ารู้สึกสนใจ แต่ก็ไม้ได้มีอะไรพิเศษ เหมือนเป็นอะไรที่ Nice to have but not 'A Must' :) ไม่ได้อยากได้ขนาดนั้น แต่ถ้าได้ก็ดี แต่ก็คงไม่ได้ดีใจอะไร ... ไรเงี้ยยยยยยย
หงีพยายามคิด Business Case ของกลยุทธ์นี้อยู่นานนะคะ ... แล้วคิดออกด้วย ... แต่ ... หากจะยกตัวอย่างกลยุทธ์นี้ ให้ถึงกึ๋น ให้ดีที่สุดแล้ว หงีคิดว่า ควรจะใช้ตัวอย่างเรื่อง การเล่นตัวของผู้หญิงที่เวลาผู้ชายมาจีบ ก็น่าจะให้ภาพชัดกว่า ... นี่หงีว่า หงีแทบไม่ต้องอธิบายอะไรเลยนะ ตอนเนี้ยะ หงีว่า คุณก็เข้าใจแล้วอ่ะ ... ผู้หญิงสวยๆ ฉลาดๆ มารยาทงามๆ บุคคลิกดี จีบยากๆ มันเร้าใจอ่ะ มันอยากได้ มันคาใจ ต้องเอามาให้ได้ ... แต่ถ้าผู้หญิงสวยๆ แต่จีบง่ายๆ ได้มาก็ดี แต่ความพึงพอใจ หรือ ความภูมิใจตอนได้มา มันไม่เท่ากันเลย
ดังนั้น .. สาวๆจ๋า ... เรียนรู้ไว้เถอะ กลยุทธ์นี้ ... ถ้าอยากให้ผู้ชายเค้าอยากได้ เค้าเห็นเราเลอค่า กรุณา ... มั่นใจในคุณงามความดีของตัวเองไว้ ... เล่นตัวแต่พองาม ทดสอบจิตใจอีกฝ่ายให้แน่ค่ะ ... อย่าให้เค้าจีบติดง่ายๆ ... ไอ้ประเภทลองเดินเข้ามาดู ลองจีบดูเพราะเห็นว่าน่าสนใจดี แล้วพอเราเล่นตัวเข้าหน่อยก็หนีหาย .. ก็ปล่อยมันไปป้ายหน้าเถอะค่ะ ... เรามีค่ากว่านั้น เก็บความรัก เก็บความสามารถ เก็บทุกสิ่งที่เรามี ไว้ไปส่งเสริมแก่คนที่คู่ควรจะดีกว่า :)
ท้ายนี้ ... เรื่องการเพิ่มมูลค่านี้ หงีว่า มันค่อนข้างสามารถนำไปปรับใช้ได้หลายๆอย่างนะคะ ตั้งแต่เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างหญิงชาย ไปจนถึง การเลี้ยงลูก เช่น ถ้าหากอยากให้ลูกคุณเห็นคุณค่าของเงิน คุณต้องให้การได้ "เงิน" มานั้น ยากหน่อย ต้องทำอะไรบางอย่างมาแลก ไม่ใช่ให้ได้มาง่ายๆ แล้วท้ายที่สุด เค้าจะไม่เห็นคุณค่าของมัน หรือแม้กระทั่ง การเจรจาธุรกิจ ถ้าหากคุณอยากเพิ่มมูลค่าแก่ของที่คุณจะขาย คุณก็ต้องรู้จักที่จะ "เล่นตัว" เพื่อเพิ่มมูลค่าหรือราคาให้กับมัน .. อะไรแบบนี้เป็นต้นค่ะ
หงีว่าเรื่องนี้สนุกดี หงีชอบ^^ หงีไมไ่ด้พูดอะไรเยอะกับ Post นี้ แต่หงีเชื่อว่า เนื้อหาจากหนังสือที่พิมพ์ให้ มันได้อธิบาย และเล่าตรรกะ ความนึกคิด ความรู้สึกของตัวละครไปหมดแล้ว :)
ดีใจมากนะคะ ที่ยังตามอ่านกัน ... สำหรับ Post ต่อไป หงีสัญญาว่า จะไม่ให้รอนานค่ะ
Happy New Year 2016 ค่ะ ... ตอนนี้ ยิงพลุกันแล้ว!!!
Thursday, December 31, 2015
Wednesday, December 30, 2015
อ่านเหลี่ยมขงเบ้ง ... กลวิธีสู่อำนาจ : กลยุทธ์การ PR
สวัสดีค่ะทุกๆคน^^ ตอนนี้ก็เป็นเวลา 22.25 น. ของวันที่ 30 ธันวาคา 2558 แล้ว .. อีกแค่ วันเดียว ก็จะหมดปี 2558 แล้วนะคะ^^ ส่วนตัว ไม่ได้ยินดี ยินร้ายอะไร กับอีก 1 ปีที่จะผ่านไป และอีก 1 ปีใหม่ ที่จะเข้ามา ... เพราะหงีคิดว่า ไม่ว่าเราจะต้องการ หยุดอะไรเก่าๆ หรือ ต้องการจะเริ่มต้น อะไรใหม่ๆ .. มันทำได้ทุกเมื่อค่ะ ไม่ต้องรอวันสิ้นปี จึงจะเลิกนิสัยที่ไม่ดี แล้วรอปีใหม่ที่จะเริ่มอะไรดีๆใหม่หรอก ... ทุกอย่าง มันอยู่ที่ใจเรา จริงมั้ยล่ะคะ?
ช่วงเดือน ธ.ค. นี้ หงีก็ใช้เวลาไปๆมาๆ ระหว่าง กรุงเทพฯ - เชียงราย ค่ะ ... หงีชอบบรรยากาศสงบๆ อากาศดีๆ กับธรรมชาติสวยๆที่นั่น ... ความเป็นใจทุกอย่าง ก็ทำให้หงีมีโอกาสได้อ่านหนังสือ จบไปอีกเล่มค่ะ^^ แล้วหงีก็กำลังจะเล่าให้คุณฟัง .... หุหุ
หนังสือเล่มนี้ ชื่อว่า "อ่านเหลี่ยมขงเบ้ง กลวิธีสู่อำนาจ" นะคะ ซึ่งเขียนถึง 25 กลยุทธ์ที่น่าสนใจ ของ ขงเบ้ง ที่ใช้ในสามก๊ก ค่ะ ... ซึ่งหงีจะขออนุญาต เล่า 2-3 กลยุทธ์ ที่หงีชอบนะคะ^^ โดยจะขอเล่า Post ละ กลยุทธ์ แล้วกัน ... เพราะมัน ยาาาาาาาาาาาาาาาาาว '-_-!
กลยุทธ์แรกเลย ... คือ เรื่องของการ PR เพื่อดึงดูดเป้าหมายของเราค่ะ ... ในหนังสือเค้าพูดนะคะ ว่า หลักการ PR ที่ดีนั้น คือ เราต้องรู้ว่าเรามีสื่อในมืออะไรบ้าง และจะต้องใช้อย่างไรบ้าง เพื่อให้ผู้คนมากมายได้รับรู้สิ่งที่เราต้องการนำเสนอ ... เนื้อหาในหนังสือนั้น ได้พูดถึงวิธีที่ "ขงเบ้ง" ใช้ดึงดูด "เล่าปี่" โดยการสร้างเครดิตให้กับตัวเองผ่านการกระทำ 2 อย่างค่ะ คือ
1. การสร้างบทกวีเหลียงฟู่ ที่กล่าวว่าตนเองนั้นเหมือนกับ "ขวัญต๋ง" และ "งักเย" ซึ่งคนหนึ่งเป็นนักบริหาร และอีกคนเป็นแม่ทัพที่มีสติปญญาเฉลียวฉลาด ... เรียกว่า .... อวยตัวเองสุดๆว่า ผมนี่มันส่วนผสมของยอดมนุษย์ทางสติปัญญาเชียวนะ การจัดการก็ได้ การวางแผนก็เด่น ... แหม่ ... สร้างเครดิตมาแบบนี้ ... ใครไม่สนใจก็แปลกล่ะค่า
2. คบเพื่อนที่สามารถเป็นโทรโข่งชั้นดี ช่วยป่าวประกาศสรรพคุณของตัวเองออกไป
ถ้าจะดูให้ดี เราก็จะเห็นว่า ... สร้างเครดิต ผ่านทางผลงาน อย่างเดียวนั้นไม่พอ ... มันต้องมี Living Evidence หรือ "คน" ที่จะมาย้ำสรรพคุณด้วย เพื่อให้เครดิตที่เราสร้างนั้น มีน้ำหนักมากขึ้น
ลองจินตนาการง่ายๆนะคะ ... เวลาเราเห็น "ดารา" ในทีวี เราก็เห็นล่ะค่ะ ว่า เค้าสวย ... ซึ่งการที่เราเห็นเค้าในทีวี มันก็เหมือน "ผลงาน" หรือ "บทกวีเหลียงฟู๋" ของขงเบ้งนะคะ .... อย่างไรก็ตามค่ะ เราจะเชื่ออย่าง "หมดใจ" ทีเดียว ว่าคนๆนี้สวย ก็ต่อเมื่อ มี "คน" หรือ Living Evidence ตัวเป็นๆ มาบอกกับเรานะคะว่า เฮ้ย... เคยเห็นแล้ว ... สวยมวาาาาาาาาาาก .... เออแบบเนี้ยะ ... ชัดเลอ คงจะนางฟ้ามาจุติแล้วเป็นแน่
พอลองทบทวนสิ่งที่อ่าน แล้วนำมาคิดต่อยอดกับงานที่ทำอยู่ ก็เห็นว่า มันจริงนะคะ ... หงีชวนคิดถึง "ชาบูชื่อดัง เจ้าหนึ่ง" ค่ะ หุหุ ... ชาบูเจ้านี้ ทำการตลาดบน Facebook และสื่อ Online โดย
1. เขียนบรรยายความอร่อยของชาบูของตน ประกอบรูปภาพอาหาร ที่ดูแล้ว นำเสนอผลงานได้เป็นอย่างดี
2. เค้ามักจะโพสต์รูป "ดารา" อันเป็น Living Evidence เพื่อตอกย้ำว่า เฮ้ยยย! ชาบูฉันอร่อยจริงนาเว่ย เนี่ย ดูดิ ดารายังมากินเหอะ!!!
ซึ่งชาบูเจ้าเนี้ยะ ... ถ้าคุณจะนึกออก ... บอกเลยว่า PR เค้าได้ผลนะ ... จริงมั้ยล่ะคะ? เมื่อคุณเห็นดาราที่คุณชื่นชอบไปทานชาบูเจ้านี้ คนแล้วคนเล่า วันแล้ววันเล่า .. คุณต้องคิดบ้างอ่ะน่าว่า มันคงอร่อยจริงเว้ย แบบนี้ต้องไปลอง :)
มาถึงตรงนี้ หงีว่า คุณคงจะพอเข้าใจในกลยุทธ์นี้กันแล้ว ... หงีอยากจะชวนให้คุณ "คิดต่อ" และ "ทำต่อ" กันอีกนิดนึงค่ะ ... นั่นคือ "การรักษาคุณภาพ" และ "การจริง" เพื่อผลลัพธ์ของการ PR ที่ยั่งยืน ... ลองคิดภาพนะคะ ... ถ้าหาก "เล่าปี่" เมื่อมาพบ "ขงเบ้ง" แล้ว ลองคุย ดูปัญญาแล้ว ... พบว่า "ขงเบ้ง" ไม่ได้ "ฉลาด" อย่างที่คนอื่นบอก ... หงีว่า การ PR นี้ สิ่งที่ลงทุนลงแรงไปทั้งหมด เท่ากับ "ศูนย์" เลยนะคะ ... ดังนั้น ตรงนี้ หงีจึงย้ำว่า ไม่ว่าคุณจะทำอะไร ก็ขอให้มัน "จริง" ... อย่า "หลอกลวง" คนอื่น ... และนอกจากนี้ค่ะ "การรักษาคุณภาพ" ก็เป็นเรื่องที่จำเป็นไม่ยิ่งหย่อนกว่ากัน ... นึกภาพตามนะคะ หาก "ขงเบ้ง" ไม่ "ลับสมอง" "หาความรู้ใส่หัว" เรื่อยๆ อันเป็นการ "รักษาุคุณภาพ" แล้ว ... หงีคิดว่า "เล่าปี่" ก็คงจะ "ชื่นชม" ขงเบ้ง ได้ไม่นาน และท้ายที่สุด ความสัมพันธ์ของทั้งสอง ก็ต้องจบลงแต่เพียงเท่านั้น ... โธ่ ... ขงเบ้ง ... ไม่น่าเลย i_i
ท้ายนี้ ... หงีคิดว่านะคะ เรื่องนี้สามารถนำไปปรับใช้ได้กับ ความสัมพันธ์ ทุกรูปแบบค่ะ ไม่ว่าจะเป็น ธุรกิจกับลูกค้า นายจ้างกับลูกจ้าง เพื่อนกับเพื่อน คู่รักกับคู่รัก ... ขอให้เริ่มกันด้วยความ "จริงใจ" ... ทำ PR ด้วยความจริงใจ ... และเมื่อเขาเข้ามาหาคุณตามเป้าหมายแล้ว ก็จง "จริง" กับเขาต่อไป ... โฆษณาไว้อย่างไร คุณก็ควรจะทำให้ได้แบบนั้น ... โดยในระหว่างที่อยู่ด้วยกัน ก็ขอให้ "รักษาคุณภาพ" เอาไว้ ให้เหมือนกับตอนโฆษณา ... เพราะสุดท้ายแล้ว อย่าลืมว่า หาก "มนุษย์" สามารถทำให้คนอืน "เชื่อ" "สรรพคุณดี" ของคุณได้อย่างไร ... มนุษย์เอง ก็สามารถทำให้คนอื่น "เชื่อ" "สรรพคุณชั่ว" ของคุณได้เช่นกัน :)
เอาล่ะค่ะ ... ยังเหลือกลยุทธ์ที่หงีชอบอีก 2-3 อันนะ ... แล้วหงีจะมาเล่าให้ฟังใน Post หน้า ... คืนนี้ไปนอนก่อน ... ง่วงแล้วแหละ
Goodnight ค่ะ^^
ช่วงเดือน ธ.ค. นี้ หงีก็ใช้เวลาไปๆมาๆ ระหว่าง กรุงเทพฯ - เชียงราย ค่ะ ... หงีชอบบรรยากาศสงบๆ อากาศดีๆ กับธรรมชาติสวยๆที่นั่น ... ความเป็นใจทุกอย่าง ก็ทำให้หงีมีโอกาสได้อ่านหนังสือ จบไปอีกเล่มค่ะ^^ แล้วหงีก็กำลังจะเล่าให้คุณฟัง .... หุหุ
หนังสือเล่มนี้ ชื่อว่า "อ่านเหลี่ยมขงเบ้ง กลวิธีสู่อำนาจ" นะคะ ซึ่งเขียนถึง 25 กลยุทธ์ที่น่าสนใจ ของ ขงเบ้ง ที่ใช้ในสามก๊ก ค่ะ ... ซึ่งหงีจะขออนุญาต เล่า 2-3 กลยุทธ์ ที่หงีชอบนะคะ^^ โดยจะขอเล่า Post ละ กลยุทธ์ แล้วกัน ... เพราะมัน ยาาาาาาาาาาาาาาาาาว '-_-!
กลยุทธ์แรกเลย ... คือ เรื่องของการ PR เพื่อดึงดูดเป้าหมายของเราค่ะ ... ในหนังสือเค้าพูดนะคะ ว่า หลักการ PR ที่ดีนั้น คือ เราต้องรู้ว่าเรามีสื่อในมืออะไรบ้าง และจะต้องใช้อย่างไรบ้าง เพื่อให้ผู้คนมากมายได้รับรู้สิ่งที่เราต้องการนำเสนอ ... เนื้อหาในหนังสือนั้น ได้พูดถึงวิธีที่ "ขงเบ้ง" ใช้ดึงดูด "เล่าปี่" โดยการสร้างเครดิตให้กับตัวเองผ่านการกระทำ 2 อย่างค่ะ คือ
1. การสร้างบทกวีเหลียงฟู่ ที่กล่าวว่าตนเองนั้นเหมือนกับ "ขวัญต๋ง" และ "งักเย" ซึ่งคนหนึ่งเป็นนักบริหาร และอีกคนเป็นแม่ทัพที่มีสติปญญาเฉลียวฉลาด ... เรียกว่า .... อวยตัวเองสุดๆว่า ผมนี่มันส่วนผสมของยอดมนุษย์ทางสติปัญญาเชียวนะ การจัดการก็ได้ การวางแผนก็เด่น ... แหม่ ... สร้างเครดิตมาแบบนี้ ... ใครไม่สนใจก็แปลกล่ะค่า
2. คบเพื่อนที่สามารถเป็นโทรโข่งชั้นดี ช่วยป่าวประกาศสรรพคุณของตัวเองออกไป
ถ้าจะดูให้ดี เราก็จะเห็นว่า ... สร้างเครดิต ผ่านทางผลงาน อย่างเดียวนั้นไม่พอ ... มันต้องมี Living Evidence หรือ "คน" ที่จะมาย้ำสรรพคุณด้วย เพื่อให้เครดิตที่เราสร้างนั้น มีน้ำหนักมากขึ้น
ลองจินตนาการง่ายๆนะคะ ... เวลาเราเห็น "ดารา" ในทีวี เราก็เห็นล่ะค่ะ ว่า เค้าสวย ... ซึ่งการที่เราเห็นเค้าในทีวี มันก็เหมือน "ผลงาน" หรือ "บทกวีเหลียงฟู๋" ของขงเบ้งนะคะ .... อย่างไรก็ตามค่ะ เราจะเชื่ออย่าง "หมดใจ" ทีเดียว ว่าคนๆนี้สวย ก็ต่อเมื่อ มี "คน" หรือ Living Evidence ตัวเป็นๆ มาบอกกับเรานะคะว่า เฮ้ย... เคยเห็นแล้ว ... สวยมวาาาาาาาาาาก .... เออแบบเนี้ยะ ... ชัดเลอ คงจะนางฟ้ามาจุติแล้วเป็นแน่
พอลองทบทวนสิ่งที่อ่าน แล้วนำมาคิดต่อยอดกับงานที่ทำอยู่ ก็เห็นว่า มันจริงนะคะ ... หงีชวนคิดถึง "ชาบูชื่อดัง เจ้าหนึ่ง" ค่ะ หุหุ ... ชาบูเจ้านี้ ทำการตลาดบน Facebook และสื่อ Online โดย
1. เขียนบรรยายความอร่อยของชาบูของตน ประกอบรูปภาพอาหาร ที่ดูแล้ว นำเสนอผลงานได้เป็นอย่างดี
2. เค้ามักจะโพสต์รูป "ดารา" อันเป็น Living Evidence เพื่อตอกย้ำว่า เฮ้ยยย! ชาบูฉันอร่อยจริงนาเว่ย เนี่ย ดูดิ ดารายังมากินเหอะ!!!
ซึ่งชาบูเจ้าเนี้ยะ ... ถ้าคุณจะนึกออก ... บอกเลยว่า PR เค้าได้ผลนะ ... จริงมั้ยล่ะคะ? เมื่อคุณเห็นดาราที่คุณชื่นชอบไปทานชาบูเจ้านี้ คนแล้วคนเล่า วันแล้ววันเล่า .. คุณต้องคิดบ้างอ่ะน่าว่า มันคงอร่อยจริงเว้ย แบบนี้ต้องไปลอง :)
มาถึงตรงนี้ หงีว่า คุณคงจะพอเข้าใจในกลยุทธ์นี้กันแล้ว ... หงีอยากจะชวนให้คุณ "คิดต่อ" และ "ทำต่อ" กันอีกนิดนึงค่ะ ... นั่นคือ "การรักษาคุณภาพ" และ "การจริง" เพื่อผลลัพธ์ของการ PR ที่ยั่งยืน ... ลองคิดภาพนะคะ ... ถ้าหาก "เล่าปี่" เมื่อมาพบ "ขงเบ้ง" แล้ว ลองคุย ดูปัญญาแล้ว ... พบว่า "ขงเบ้ง" ไม่ได้ "ฉลาด" อย่างที่คนอื่นบอก ... หงีว่า การ PR นี้ สิ่งที่ลงทุนลงแรงไปทั้งหมด เท่ากับ "ศูนย์" เลยนะคะ ... ดังนั้น ตรงนี้ หงีจึงย้ำว่า ไม่ว่าคุณจะทำอะไร ก็ขอให้มัน "จริง" ... อย่า "หลอกลวง" คนอื่น ... และนอกจากนี้ค่ะ "การรักษาคุณภาพ" ก็เป็นเรื่องที่จำเป็นไม่ยิ่งหย่อนกว่ากัน ... นึกภาพตามนะคะ หาก "ขงเบ้ง" ไม่ "ลับสมอง" "หาความรู้ใส่หัว" เรื่อยๆ อันเป็นการ "รักษาุคุณภาพ" แล้ว ... หงีคิดว่า "เล่าปี่" ก็คงจะ "ชื่นชม" ขงเบ้ง ได้ไม่นาน และท้ายที่สุด ความสัมพันธ์ของทั้งสอง ก็ต้องจบลงแต่เพียงเท่านั้น ... โธ่ ... ขงเบ้ง ... ไม่น่าเลย i_i
ท้ายนี้ ... หงีคิดว่านะคะ เรื่องนี้สามารถนำไปปรับใช้ได้กับ ความสัมพันธ์ ทุกรูปแบบค่ะ ไม่ว่าจะเป็น ธุรกิจกับลูกค้า นายจ้างกับลูกจ้าง เพื่อนกับเพื่อน คู่รักกับคู่รัก ... ขอให้เริ่มกันด้วยความ "จริงใจ" ... ทำ PR ด้วยความจริงใจ ... และเมื่อเขาเข้ามาหาคุณตามเป้าหมายแล้ว ก็จง "จริง" กับเขาต่อไป ... โฆษณาไว้อย่างไร คุณก็ควรจะทำให้ได้แบบนั้น ... โดยในระหว่างที่อยู่ด้วยกัน ก็ขอให้ "รักษาคุณภาพ" เอาไว้ ให้เหมือนกับตอนโฆษณา ... เพราะสุดท้ายแล้ว อย่าลืมว่า หาก "มนุษย์" สามารถทำให้คนอืน "เชื่อ" "สรรพคุณดี" ของคุณได้อย่างไร ... มนุษย์เอง ก็สามารถทำให้คนอื่น "เชื่อ" "สรรพคุณชั่ว" ของคุณได้เช่นกัน :)
เอาล่ะค่ะ ... ยังเหลือกลยุทธ์ที่หงีชอบอีก 2-3 อันนะ ... แล้วหงีจะมาเล่าให้ฟังใน Post หน้า ... คืนนี้ไปนอนก่อน ... ง่วงแล้วแหละ
Goodnight ค่ะ^^
Sunday, December 20, 2015
กินเถอะ ถ้าคุณอยากจะกิน
ปลายปีแล้ว ... อากาศดีๆ และเป็นช่วงเวลาของการหยุดพักผ่อน ... วันนี้ก็จะแชร์เรื่องเบาๆ เกี่ยวกับการดูแลสุขภาพและทานอาหารกันนะคะ^^
ทีแรกก็คิดอยู่นานค่ะ ... ว่าจะเขียนแชร์เรื่องนี้ดีไหม เพราะดูจะผิดธีมกับที่เขียนๆมา 555+ แต่ว่า ... คิดไปคิดมา ก็ได้คำตอบว่า ... ไม่เป็นไรหรอก คนอ่านก็น่าจะอยากรู้ล่ะน่า ( หุหุหุ ... เป็นคนมีคำตอบที่เข้าข้างตัวเองได้เสมอค่ะ)
เอาล่ะ ... เท้าความก่อน ... จริงๆแล้ว หงีก็เป็น มนุษย์ธรรมดา นี่แหละนะคะ ที่ชอบทานของอร่อย แต่ก็มีสติที่จะดูแลตัวเองบ้างตามสมควร ... หงีเริ่มออกกำลังกายเป็นประจำตั้งแต่ 23 ค่ะ เพราะช่วงนั้น ก็เป็นช่วงทำงานแล้ว และน้ำหนักตัวเปลี่ยนแปลงจากตอนเรียนพอสมควร ทำให้มานั่งนึกสาเหตุดู แล้วก็พบว่า เป็นเพราะกิจกรรมที่ทำในแต่ละวันมันเปลี่ยนไป ... ตอนไปเรียน เราเดินเยอะ ทำกิจกรรมนู่นนี่กับเพื่อนเยอะ (ตามประสาลิงทโมน 555+) แต่พอเริ่มทำงาน กิจกรรม มันก็น้อยลง แต่กินเหมือนเดิม ... นน. มันก็ขึ้นล่ะค่าาาาา
ผ่านมาอีก 4 ปี ... ซัก 27 ... ก็ได้รู้ว่า หงีมีน้ำตาลในเลือดสูงกว่าปกติเล็กน้อยค่ะ ... ทำให้เป็นที่มาของการดูแลอาหารการกินมากขึ้น .. อ๊ะ! อย่าพึ่งคิดว่า จะเป็นคน Eat Healthy / Eat Clean อะไรเทือกนั้นนะคะ ... ไม่ค่ะ .. ความผิดปกตินี้ ยังไม่สามารถทำลายปนิธานการชอบรับประทานอาหารอร่อยของดิฉันได้ ... เพียงแต่ว่า จะมีสติในการดื่มน้ำอัดลมน้อยลง และลดน้ำตาลในกาแฟที่กิน
ผ่านมาอีก 4 ปี .. ( นั่งนับอายุหงีกันอยู่สินะ หึหึ) ตรวจร่างกายทุกปี น้ำตาลก็ยังสูงกว่าปกตินิดหน่อย อยู่ดี ... ก็ไม่ได้กังวลอะไรค่ะ เพราะรู้ดีว่า ยังเลิกน้ำอัดลมไม่ขาด และยังดื่มกาแฟทุกเช้า แล้วก็ยังทานของหวานอยู่บ่อย แล้วก็ยัง ยัง ยัง และยัง อีกมาก... 555+ แต่ก็รู้ตัวค่ะว่า อายุ เริ่มมากขึ้นแล้ว ต้องจริงจังกับการรับประทานอาหารให้มากขึ้น เลยเป็นที่มาของการเก็บรวบรวมความรู้ต่างๆ เกร็ดเล็ก เกร็ดน้อย เกี่ยวกับเรื่องนี้ ... และหงี กำลังจะนำมาแชร์ให้คุณฟัง แฮ่!!
1. การออกกำลังกายเป็นประจำ และอย่างมีวินัย .. ไม่ได้ช่วยทำให้คุณผอมนะคะ แต่ทำให้คุณมีร่างกายที่แข็งแรงได้
2. ถ้าอยากผอม ... คุณต้อง Control การกินค่ะ ... กินให้แคลอรี่น้อย แต่คุณต้องทำกิจกรรมให้มากกว่าที่กินเข้าไปนะคะ แล้วจะผอมแน่ๆทีเดียว
3. การกินให้แคลอรี่น้อย ... ไม่ได้หมายความว่า "กินดี" นะคะ ... การ "กินดี" คือ การกินอาหารครบ 5 หมู่ ในปริมาณที่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย นั่นหมายความว่า คุณควรจะกิน "ไขมัน" และ "คาร์โบไฮเดรต" ด้วย
4. ข้อดีของไขมัน คือ นอกจากจะทำให้ "ร่างกายอบอุ่น"แล้ว ยังทำให้ "ผิวชุ่มชื่น" ... และจากการสังเกตส่วนตัวนะคะ Lean มากๆ มันทำให้ดูแข็ง ดูเกร็ง .. มีไขมันนิดๆ มันดูนุ่มนิ่ม Soft เป็นผู้หญิง น่าทะนุถนอมมากกว่าค่ะ ^^
5. คาร์โบไฮเดรต แน่นอน เมื่อกินเข้าไปแล้วมันจะไปเปลี่ยนเป็น "น้ำตาล" ... คุณรู้ไหมคะ สมองของเรา กิน "น้ำตาล" เป็นอาหารหลักนะคะ ... การไม่กิน คาร์บ เลย และแถมยังไม่กิน น้ำตาล ด้วย ... หงีว่า มันไม่ดีต่อ "สุขภาพสมอง" เลยค่ะ ... ซึ่งเป็นเรื่องที่หงี Concern มากนะ เลยให้น้ำตาลแก่สมองอยู่ตลอดเลยไง :) แฮ่!!
6. การที่ไม่มีน้ำตาลไปหล่อเลี้ยงสมอง จะทำให้เกิดภาวะเครียด หงุดหงิด อารมณ์ฉุนเฉีย และ ซึมเศร้า ได้นะคะ
7. น้ำตาลทรายขาว ออกฤทธิ์ต่อสมองแบบเดียวกับโคเคน คือ กินแล้วมีความสุข และ "ติด" ... หึหึ ... ดิฉันไม่แปลกใจ ทำไมมันถึงเลิกยากเลิกเย็นนัก กับ น้ำอัดลม ของหวาน น้ำหวาน ต่างๆ แล้วแถมยังกินแล้วรู้สึกมีความสุขอีกด้วย ^^
8. จากการอ่านเก็บเล็กผสมน้อยมาเรื่อยๆ .. สิ่งที่หงีนำมาปรับใช้ก็คือ หงีลดปริมาณน้ำตาลที่ได้รับต่อการกินอะไรใดๆใน 1 ครั้ง .. คือ ไม่ว่า น้ำตาล นั้นจะมาจากการกินของหวาน น้ำหวาน หรือ การกินคาร์โบไฮเดรต ... แต่ให้กินได้บ่อยขึ้น และรักษาระดับน้ำตาลในร่างกายให้คงที่มากขึ้น ... ในที่นี้ ก็คือ กินให้น้อยลงในแต่ละครั้ง แต่กินให้บ่อยขึ้น และกินให้ดีขึ้น ... นั่นหมายความว่า ถ้าหากหงีจะกินน้ำหวานในมื้ออาหารนี้ หงีจะกินในปริมาณที่เหมาะสม แล้วถ้ากินน้ำหวานแล้ว หงีก็จะกินแป้งน้อยหน่อย กับข้าวหวานน้อยหน่อย ... และ "กินดี" ก็คือ รู้จักเลือกอาหารที่มี Low Glycemic Index หรือ พวกมีดัชนีน้ำตาลต่ำ ... อุ๊ย ฟังดูวุ่นวาย ใช่ไหมคะ ... อืมมมม ก็นิดนึงค่ะ .. แต่หลักการจำง่ายๆ ก็คือ พวก Low GI เนี่ย ก็คือพวกผัก ผลไม้ ถั่ว นะคะ และพวก High GI ก็พวก แป้งขัดขาว ข้าวขาว ต่างๆ ... เพราะฉะนั้น ถ้าง่ายๆ คือ ข้าว ก็เลือก ข้าวกล้อง ถ้ามี ... ถ้าไม่มี มื้อนั้น ก็ไม่กินโค้ก ... ถ้าโดนอาหารฝรั่ง พวกสปาเก็ตตี้ พิซซ่า มื้อนั้น งดโค้ก งดของหวาน อะไรแบบเนี้ยะ ( More info about Low GI Food )
9. การทำอาหารเองนั้น ดูเหมือนยุ่งยาก ... แต่มัน ไม่ขนาดนั้น หรอกค่ะ ... จะไปยากอะไร ก็เลือกเมนูที่ทำง่าย และคุณชอบสิคะ ... ข้อดีของการทำอาหารเอง คือ คุณจะสามารถกะได้เลยว่า มื้อนี้ คุณได้อะไรจากการทานบ้าง แคลอรี่เท่าไหร่บ้าง และที่สำคัญ คุณเลือก Ingredient ที่คุณอยากจะทานได้เองเลยนะเออ
10. การออกกำลังกายนั้นมี 2 ประเภท คือ เวท (เน้นความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ) และ คาร์ดิโอ ( เน้น Burn)
11. จากการออกกำลังกายมาหลายปี ... ขอ Confirm ตรงนี้ ... วินัยอย่างเดียว ไม่ได้ช่วยให้คุณผอม และมีกล้ามเนื้อสวยงามตามต้องการได้
12. เพราะฉะนั้น หากคุณจะออกกำลังกาย ... ถามตัวเองให้ดีก่อนว่า คุณต้องการอะไร? .. ถ้าบอกว่า อยากมีร่างกายแข็งแรง ... โอเคค่ะ คาร์ดิโฮ + วินัย ช่วยได้ ... แต่ถ้าบอกว่า อยากมีกล้ามเนื้องามๆ หน้าท้อง Six pack สวยๆ และหุ่น Lean เหมือนนางแบบ Victoria Secret ... พูดเลยว่า คุณต้องจ้างเทรนเนอร์ เพื่อให้เค้าจัดตาราง Cardio + Weight ที่ถูกต้อง และ เหมาะสม "กับร่างกายของคุณ" ให้ ... ขอย้ำอีกครั้งหนึ่ง "กับร่างกายของคุณ" แปลว่า ร่างกายของคนเรา ไม่เหมือนกัน ... สรีระ + ปริมาณการสะสมของไขมันในที่ต่างๆในร่างกาย ก็ไม่เหมือนกัน ... ดังนั้น ตารางการออกกำลังกายของแต่ละบุคคล จึงเป็นเรื่องของแต่ละบุคคลเท่านั้น และมันต้องถูกจัดโดยผู้เชี่ยวชาญที่เข้าใจเรื่อง สรีระ และ การออกกำลังกายเพื่อลด และสร้างกล้ามเนื้อจริงๆ ... และขอบอกตรงนี้ หงีไม่เคยจ้างเทรนเนอร์ :) เพราะจุดประสงค์ของหงี เพียงแค่เพื่อมีร่างกายที่แข็งแรง และ เพราะชอบกิน เลยต้องเอาที่กินเข้าไป ออกบ้าง เท่านั้น หงีเลยเน้นแต่ Cardio และ ไม่หนัก ค่ะ
13. การพักผ่อน สำคัญมากกับร่างกาย ... เห็นได้ชัดเลยค่ะ ... หงีเอง ถึงจะตามใจปาก แต่เป็นคนค่อนข้างมีสติกับการกิน และ มีวินัยกับการออกกำลังกาย ... แต่ถ้าหากช่วงไหน ต่อให้กินดี ออกกำลังกายสม่ำเสมอ แต่เครียด นอนนน้อย พักผ่อนไม่พอ ... บอกเลย ดูพังมาก ... เพราะฉะนั้น Mind over body นะคะ ... จิตใจมาก่อน เครียดให้น้อย นอนให้พอ
14. ร่างกายคุณบอกได้ส่วนหนึ่งอยู่แล้ว เวลาที่คุณ กินมากเกินไป ... ลองสังเกตตัวเองให้ดีนะคะ .. มื้อไหน คุณกินพอดี คุณจะรู้อ่ะ ว่า คุณอิ่ม แต่ไม่อึดอัด ... แต่ถ้าหากมื้อไหน คุณกินมากไป แถมกินมันๆ คุณจะรู้สึกอิ่มแบบอึดอัด และไม่สบายตัว สบายคอ เลย เพราะมันจะรู้สึกเหมือนมีอะไรมันๆอยู่ในลำคอ อยู่ตลอดเวลา ... เพราะฉะนั้น สิ่งที่ต้องการจะบอกตรงนี้คือ ใช้ "สติ" และ "ใส่ใจ" สังเกต ฟัง ร่างกายของตัวเองให้มากๆ แล้วเรื่องการกินที่ดี มันจะตามมาโดยธรรมชาติ ค่ะ^^
นี่ก็เป็นเกร็ดเล็กๆน้อยๆ เรื่องการกิน และการออกกำลังกาย ที่หงีว่า มันไม่ใช่เรื่องยาก และเป็นเรื่องธรรมชาติ นะคะ .. โดยที่หงีแชร์อันนี้ หงีเอง ก็ไม่ใช่ กูรู และ ไม่ใช่คนเคร่งครัดในการทำทั้ง 2 เรื่องมากๆ .. เป็นคนปกติธรรมดา ... ดังนั้น หงีคิดว่า เรื่องราวนี้ ถ้าลองอ่าน แล้วนำไปปรับใช้ดู หงีเชื่อว่า ถ้าคุณเป็นคนที่ยังไม่ได้ดูแลสุขภาพเท่าไหร่ มันน่าจะเป็นประโยชน์ได้บ้าง
สุดท้ายนี้ ... พระเจ้าสอนว่า ให้เรามีความสุขกับการกิน ดื่ม และในการงานของเรา ... ดังนั้น กินเถอะค่ะ ถ้าคุณอยากจะกิน ดื่มเถอะค่ะ ถ้าคุณอยากจะดื่ม ... แต่อย่าลืม ใส่ใจ และ ฺBalance ... วันไหนคุณกินมาก และกินของมันๆของทอดๆ วันถัดๆไป ก็กินผักๆหน่อย ต้มๆหน่อย ... ถ้าเพื่อนฝูงครอบครัวจัดปาร์ตี้ แล้วคุณจะดื่มบ้าง หงีก็ไม่เห็นว่ามันจะผิดอะไร เพียงแต่ ดื่มอย่างมีสติ และ รู้จักที่จะงด หรือ ลด ในวันถัดๆไป ^^ ... ของอร่อยบนโลกนี้ เต็มไปหมดนะคะ^^ อย่าถึงกับอดมันเลยค่ะ เสียดายโอกาสชีวิต^^
ขอให้ทุกคนมีความสุขนะคะ ... Have a nice day ka^^
ทีแรกก็คิดอยู่นานค่ะ ... ว่าจะเขียนแชร์เรื่องนี้ดีไหม เพราะดูจะผิดธีมกับที่เขียนๆมา 555+ แต่ว่า ... คิดไปคิดมา ก็ได้คำตอบว่า ... ไม่เป็นไรหรอก คนอ่านก็น่าจะอยากรู้ล่ะน่า ( หุหุหุ ... เป็นคนมีคำตอบที่เข้าข้างตัวเองได้เสมอค่ะ)
เอาล่ะ ... เท้าความก่อน ... จริงๆแล้ว หงีก็เป็น มนุษย์ธรรมดา นี่แหละนะคะ ที่ชอบทานของอร่อย แต่ก็มีสติที่จะดูแลตัวเองบ้างตามสมควร ... หงีเริ่มออกกำลังกายเป็นประจำตั้งแต่ 23 ค่ะ เพราะช่วงนั้น ก็เป็นช่วงทำงานแล้ว และน้ำหนักตัวเปลี่ยนแปลงจากตอนเรียนพอสมควร ทำให้มานั่งนึกสาเหตุดู แล้วก็พบว่า เป็นเพราะกิจกรรมที่ทำในแต่ละวันมันเปลี่ยนไป ... ตอนไปเรียน เราเดินเยอะ ทำกิจกรรมนู่นนี่กับเพื่อนเยอะ (ตามประสาลิงทโมน 555+) แต่พอเริ่มทำงาน กิจกรรม มันก็น้อยลง แต่กินเหมือนเดิม ... นน. มันก็ขึ้นล่ะค่าาาาา
ผ่านมาอีก 4 ปี ... ซัก 27 ... ก็ได้รู้ว่า หงีมีน้ำตาลในเลือดสูงกว่าปกติเล็กน้อยค่ะ ... ทำให้เป็นที่มาของการดูแลอาหารการกินมากขึ้น .. อ๊ะ! อย่าพึ่งคิดว่า จะเป็นคน Eat Healthy / Eat Clean อะไรเทือกนั้นนะคะ ... ไม่ค่ะ .. ความผิดปกตินี้ ยังไม่สามารถทำลายปนิธานการชอบรับประทานอาหารอร่อยของดิฉันได้ ... เพียงแต่ว่า จะมีสติในการดื่มน้ำอัดลมน้อยลง และลดน้ำตาลในกาแฟที่กิน
ผ่านมาอีก 4 ปี .. ( นั่งนับอายุหงีกันอยู่สินะ หึหึ) ตรวจร่างกายทุกปี น้ำตาลก็ยังสูงกว่าปกตินิดหน่อย อยู่ดี ... ก็ไม่ได้กังวลอะไรค่ะ เพราะรู้ดีว่า ยังเลิกน้ำอัดลมไม่ขาด และยังดื่มกาแฟทุกเช้า แล้วก็ยังทานของหวานอยู่บ่อย แล้วก็ยัง ยัง ยัง และยัง อีกมาก... 555+ แต่ก็รู้ตัวค่ะว่า อายุ เริ่มมากขึ้นแล้ว ต้องจริงจังกับการรับประทานอาหารให้มากขึ้น เลยเป็นที่มาของการเก็บรวบรวมความรู้ต่างๆ เกร็ดเล็ก เกร็ดน้อย เกี่ยวกับเรื่องนี้ ... และหงี กำลังจะนำมาแชร์ให้คุณฟัง แฮ่!!
1. การออกกำลังกายเป็นประจำ และอย่างมีวินัย .. ไม่ได้ช่วยทำให้คุณผอมนะคะ แต่ทำให้คุณมีร่างกายที่แข็งแรงได้
2. ถ้าอยากผอม ... คุณต้อง Control การกินค่ะ ... กินให้แคลอรี่น้อย แต่คุณต้องทำกิจกรรมให้มากกว่าที่กินเข้าไปนะคะ แล้วจะผอมแน่ๆทีเดียว
3. การกินให้แคลอรี่น้อย ... ไม่ได้หมายความว่า "กินดี" นะคะ ... การ "กินดี" คือ การกินอาหารครบ 5 หมู่ ในปริมาณที่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย นั่นหมายความว่า คุณควรจะกิน "ไขมัน" และ "คาร์โบไฮเดรต" ด้วย
4. ข้อดีของไขมัน คือ นอกจากจะทำให้ "ร่างกายอบอุ่น"แล้ว ยังทำให้ "ผิวชุ่มชื่น" ... และจากการสังเกตส่วนตัวนะคะ Lean มากๆ มันทำให้ดูแข็ง ดูเกร็ง .. มีไขมันนิดๆ มันดูนุ่มนิ่ม Soft เป็นผู้หญิง น่าทะนุถนอมมากกว่าค่ะ ^^
5. คาร์โบไฮเดรต แน่นอน เมื่อกินเข้าไปแล้วมันจะไปเปลี่ยนเป็น "น้ำตาล" ... คุณรู้ไหมคะ สมองของเรา กิน "น้ำตาล" เป็นอาหารหลักนะคะ ... การไม่กิน คาร์บ เลย และแถมยังไม่กิน น้ำตาล ด้วย ... หงีว่า มันไม่ดีต่อ "สุขภาพสมอง" เลยค่ะ ... ซึ่งเป็นเรื่องที่หงี Concern มากนะ เลยให้น้ำตาลแก่สมองอยู่ตลอดเลยไง :) แฮ่!!
6. การที่ไม่มีน้ำตาลไปหล่อเลี้ยงสมอง จะทำให้เกิดภาวะเครียด หงุดหงิด อารมณ์ฉุนเฉีย และ ซึมเศร้า ได้นะคะ
7. น้ำตาลทรายขาว ออกฤทธิ์ต่อสมองแบบเดียวกับโคเคน คือ กินแล้วมีความสุข และ "ติด" ... หึหึ ... ดิฉันไม่แปลกใจ ทำไมมันถึงเลิกยากเลิกเย็นนัก กับ น้ำอัดลม ของหวาน น้ำหวาน ต่างๆ แล้วแถมยังกินแล้วรู้สึกมีความสุขอีกด้วย ^^
8. จากการอ่านเก็บเล็กผสมน้อยมาเรื่อยๆ .. สิ่งที่หงีนำมาปรับใช้ก็คือ หงีลดปริมาณน้ำตาลที่ได้รับต่อการกินอะไรใดๆใน 1 ครั้ง .. คือ ไม่ว่า น้ำตาล นั้นจะมาจากการกินของหวาน น้ำหวาน หรือ การกินคาร์โบไฮเดรต ... แต่ให้กินได้บ่อยขึ้น และรักษาระดับน้ำตาลในร่างกายให้คงที่มากขึ้น ... ในที่นี้ ก็คือ กินให้น้อยลงในแต่ละครั้ง แต่กินให้บ่อยขึ้น และกินให้ดีขึ้น ... นั่นหมายความว่า ถ้าหากหงีจะกินน้ำหวานในมื้ออาหารนี้ หงีจะกินในปริมาณที่เหมาะสม แล้วถ้ากินน้ำหวานแล้ว หงีก็จะกินแป้งน้อยหน่อย กับข้าวหวานน้อยหน่อย ... และ "กินดี" ก็คือ รู้จักเลือกอาหารที่มี Low Glycemic Index หรือ พวกมีดัชนีน้ำตาลต่ำ ... อุ๊ย ฟังดูวุ่นวาย ใช่ไหมคะ ... อืมมมม ก็นิดนึงค่ะ .. แต่หลักการจำง่ายๆ ก็คือ พวก Low GI เนี่ย ก็คือพวกผัก ผลไม้ ถั่ว นะคะ และพวก High GI ก็พวก แป้งขัดขาว ข้าวขาว ต่างๆ ... เพราะฉะนั้น ถ้าง่ายๆ คือ ข้าว ก็เลือก ข้าวกล้อง ถ้ามี ... ถ้าไม่มี มื้อนั้น ก็ไม่กินโค้ก ... ถ้าโดนอาหารฝรั่ง พวกสปาเก็ตตี้ พิซซ่า มื้อนั้น งดโค้ก งดของหวาน อะไรแบบเนี้ยะ ( More info about Low GI Food )
9. การทำอาหารเองนั้น ดูเหมือนยุ่งยาก ... แต่มัน ไม่ขนาดนั้น หรอกค่ะ ... จะไปยากอะไร ก็เลือกเมนูที่ทำง่าย และคุณชอบสิคะ ... ข้อดีของการทำอาหารเอง คือ คุณจะสามารถกะได้เลยว่า มื้อนี้ คุณได้อะไรจากการทานบ้าง แคลอรี่เท่าไหร่บ้าง และที่สำคัญ คุณเลือก Ingredient ที่คุณอยากจะทานได้เองเลยนะเออ
10. การออกกำลังกายนั้นมี 2 ประเภท คือ เวท (เน้นความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ) และ คาร์ดิโอ ( เน้น Burn)
11. จากการออกกำลังกายมาหลายปี ... ขอ Confirm ตรงนี้ ... วินัยอย่างเดียว ไม่ได้ช่วยให้คุณผอม และมีกล้ามเนื้อสวยงามตามต้องการได้
12. เพราะฉะนั้น หากคุณจะออกกำลังกาย ... ถามตัวเองให้ดีก่อนว่า คุณต้องการอะไร? .. ถ้าบอกว่า อยากมีร่างกายแข็งแรง ... โอเคค่ะ คาร์ดิโฮ + วินัย ช่วยได้ ... แต่ถ้าบอกว่า อยากมีกล้ามเนื้องามๆ หน้าท้อง Six pack สวยๆ และหุ่น Lean เหมือนนางแบบ Victoria Secret ... พูดเลยว่า คุณต้องจ้างเทรนเนอร์ เพื่อให้เค้าจัดตาราง Cardio + Weight ที่ถูกต้อง และ เหมาะสม "กับร่างกายของคุณ" ให้ ... ขอย้ำอีกครั้งหนึ่ง "กับร่างกายของคุณ" แปลว่า ร่างกายของคนเรา ไม่เหมือนกัน ... สรีระ + ปริมาณการสะสมของไขมันในที่ต่างๆในร่างกาย ก็ไม่เหมือนกัน ... ดังนั้น ตารางการออกกำลังกายของแต่ละบุคคล จึงเป็นเรื่องของแต่ละบุคคลเท่านั้น และมันต้องถูกจัดโดยผู้เชี่ยวชาญที่เข้าใจเรื่อง สรีระ และ การออกกำลังกายเพื่อลด และสร้างกล้ามเนื้อจริงๆ ... และขอบอกตรงนี้ หงีไม่เคยจ้างเทรนเนอร์ :) เพราะจุดประสงค์ของหงี เพียงแค่เพื่อมีร่างกายที่แข็งแรง และ เพราะชอบกิน เลยต้องเอาที่กินเข้าไป ออกบ้าง เท่านั้น หงีเลยเน้นแต่ Cardio และ ไม่หนัก ค่ะ
13. การพักผ่อน สำคัญมากกับร่างกาย ... เห็นได้ชัดเลยค่ะ ... หงีเอง ถึงจะตามใจปาก แต่เป็นคนค่อนข้างมีสติกับการกิน และ มีวินัยกับการออกกำลังกาย ... แต่ถ้าหากช่วงไหน ต่อให้กินดี ออกกำลังกายสม่ำเสมอ แต่เครียด นอนนน้อย พักผ่อนไม่พอ ... บอกเลย ดูพังมาก ... เพราะฉะนั้น Mind over body นะคะ ... จิตใจมาก่อน เครียดให้น้อย นอนให้พอ
14. ร่างกายคุณบอกได้ส่วนหนึ่งอยู่แล้ว เวลาที่คุณ กินมากเกินไป ... ลองสังเกตตัวเองให้ดีนะคะ .. มื้อไหน คุณกินพอดี คุณจะรู้อ่ะ ว่า คุณอิ่ม แต่ไม่อึดอัด ... แต่ถ้าหากมื้อไหน คุณกินมากไป แถมกินมันๆ คุณจะรู้สึกอิ่มแบบอึดอัด และไม่สบายตัว สบายคอ เลย เพราะมันจะรู้สึกเหมือนมีอะไรมันๆอยู่ในลำคอ อยู่ตลอดเวลา ... เพราะฉะนั้น สิ่งที่ต้องการจะบอกตรงนี้คือ ใช้ "สติ" และ "ใส่ใจ" สังเกต ฟัง ร่างกายของตัวเองให้มากๆ แล้วเรื่องการกินที่ดี มันจะตามมาโดยธรรมชาติ ค่ะ^^
นี่ก็เป็นเกร็ดเล็กๆน้อยๆ เรื่องการกิน และการออกกำลังกาย ที่หงีว่า มันไม่ใช่เรื่องยาก และเป็นเรื่องธรรมชาติ นะคะ .. โดยที่หงีแชร์อันนี้ หงีเอง ก็ไม่ใช่ กูรู และ ไม่ใช่คนเคร่งครัดในการทำทั้ง 2 เรื่องมากๆ .. เป็นคนปกติธรรมดา ... ดังนั้น หงีคิดว่า เรื่องราวนี้ ถ้าลองอ่าน แล้วนำไปปรับใช้ดู หงีเชื่อว่า ถ้าคุณเป็นคนที่ยังไม่ได้ดูแลสุขภาพเท่าไหร่ มันน่าจะเป็นประโยชน์ได้บ้าง
สุดท้ายนี้ ... พระเจ้าสอนว่า ให้เรามีความสุขกับการกิน ดื่ม และในการงานของเรา ... ดังนั้น กินเถอะค่ะ ถ้าคุณอยากจะกิน ดื่มเถอะค่ะ ถ้าคุณอยากจะดื่ม ... แต่อย่าลืม ใส่ใจ และ ฺBalance ... วันไหนคุณกินมาก และกินของมันๆของทอดๆ วันถัดๆไป ก็กินผักๆหน่อย ต้มๆหน่อย ... ถ้าเพื่อนฝูงครอบครัวจัดปาร์ตี้ แล้วคุณจะดื่มบ้าง หงีก็ไม่เห็นว่ามันจะผิดอะไร เพียงแต่ ดื่มอย่างมีสติ และ รู้จักที่จะงด หรือ ลด ในวันถัดๆไป ^^ ... ของอร่อยบนโลกนี้ เต็มไปหมดนะคะ^^ อย่าถึงกับอดมันเลยค่ะ เสียดายโอกาสชีวิต^^
ขอให้ทุกคนมีความสุขนะคะ ... Have a nice day ka^^
Friday, December 18, 2015
โลกจะน่าอยู่มาดขึ้นได้ แค่เรา 'ไม่เพิกเฉย'
วันนี้ อากาศกรุงเทพฯ เย็นแล้วนะคะ^^ อากาศแบบนี้ ก็ชวนให้หงีนึกถึงช่วงเวลาดีๆ การเดินเล่น ดื่มชา และกินของอร่อยกับเพื่อนๆ แหะๆ
เอาล่ะ เรื่องที่อยากจะแชร์ในวันนี้ ก็ ... เป็นเรื่องที่ 'ดูเหมือนจะเล็ก' แต่หงีคิดว่า 'เป็นเรื่องใหญ่' นะคะ
เคยมั้ย? ที่เราเห็นการกระทำที่ไม่ถูกไม่ควร แล้วจริงๆ เราสามารถทำอะไรบางอย่างกับมันได้ ... แต่เราก็ 'ไม่ทำ' เพราะคิดว่า เฮ้ย... ไม่ยุ่งดีกว่า ไม่มีอะไรหนิ เดี๋ยวเค้าก็ผ่านมันไปได้เองแหละ .... ยกมือค่ะ ... ไม่ต้องอาย ... หงีก็เคยเป็นค่ะ
ที่หงีหยิบเรื่องนี้ขึ้นมาเล่า ก็เนื่องจากว่า เมื่อวันก่อน ที่หงีเดินทางกลับจากเชียงราย ... ในระหว่างที่เครื่อง Approaching ... ก่อนจะ Landing ... ในระหว่างนั้น จะเป็น Final Cabin Check ของลูกเรือ หรือ แอร์ฯ สจ๊วต นะคะ ... เพื่อตรวจสอบความเรียบร้อยภายในห้องโดยสาร เพื่อให้มีความปลอดภัย และพร้อมต่อการ Evacuate หากเครื่องประสบอุบัติเหตุระหว่างนำเครื่องลงจอด ... สิ่งที่ลูกเรือต้องเช็ค ก็ อาทิเช่น มีกระเป๋าใบใหญ่ หรือ สิ่งกีดขวางทางเดินออกจากที่นั่งของผู้โดยสารหรือไม่ ผู้โดยสารได้รัดเข็มขัดนิรภัยหรือไม่ ม่านหน้าต่างปิดอยู่หรือไม่ ... อะไรพวกเนี้ยะ ... ซึ่ง มันเป็นหน้าที่ของลูกเรือ 'เพื่อความปลอดภัยของผู้โดยสาร' เอง
ในระหว่างที่ลูกเรือเดินตรวจสอบความเรียบร้อยอยู่นั้น หงีก็ได้ยินเสียงโวยวายมาจากด้านหน้า เป็นเสียงของผู้ชาย พูดว่า "ก็หลับอยู่ เอ๊ะ พูดไม่รู้เรื่องหรือไง ไอ้ hia นี่ จะเอาอะไรฮะ!!' มันกักขฬะหยาบคายมาก จนอดจะโผล่หน้าไปดูไม่ได้ ... แล้วที่ช็อคกว่าคือ หงีเห็น ผู้โดยสารคนนั้น พยายามลุกขึ้นยืน และเอื้อมมือไป เหมือนกำลังจะทำร้ายร่างกายสจ๊วตแล้ว ... คุณพระ ... หงีรับไม่ได้มากๆ
เอาล่ะ .. ถึงตรงนี้ ... ถ้าคุณเป็นหงี คุณจะทำอย่างไรคะ? ... ยอมรับค่ะ ว่า ไม่กล้าลุกเดินไปบริเวณที่เกิดเหตุเพื่อห้ามความขัดแย้งที่กำลังเกิดขึ้น ... และ หงีก็คิดว่า มันไม่ใช่จังหวะที่ถูกที่ควรเท่าไหร่ เพราะเครื่องกำลังจะ Landing แล้ว
ณ ตอนนั้นเอง ... หงีคิดเลยว่า หงีต้องทำอะไรซักอย่าง หงีไม่ต้องการปล่อยให้เหตุการณืนี้ผ่านไปแบบนี้ ... การที่ลูกเรือต้องรับการกระทำแบบนั้น เป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง และยิ่งไปกว่านั้น หงีนึกถึงจิตใจของสจ๊วตคนนั้น หงีคิดว่า น้องเค้าคงรู้สึกไม่ดีอย่างมากแน่ๆ ... ในวินาทีนั้น หงีถามตัวเอง และหงีก็ได้คำตอบว่า ตอนเดินลง หงีจะพูดให้กำลังใจน้องเค้า และทีมลูกเรือ ... อย่างน้อย หงีให้ความยุติธรรมกับเค้าไม่ได้ แต่หงีคิดว่า หงีสามารถทำให้จิตใจของเค้า รู้สึกดีขึ้นได้ จากกำลังใจเล็กๆกำลังใจหนึ่ง
สิ่งที่หงีทำ ... คือ ก้มหน้าอธิษฐาน ขอความกล้าจากพระเจ้า ที่จะกล้าพูดกับน้องเค้าอย่างที่ตั้งใจ ... เพราะ มันก็ออกจะเขินอยู่ล่ะนะคะ ... แต่หงีคิดว่า สิ่งที่หงีคิดนั้น ก็เป็นสิ่งที่ควรทำ ... ดังนั้น เมื่อเครื่อง Land เรียบร้อย หงีก็ได้ทำอย่างที่ตั้งใจไว้ ^^ ... คำพูดสั้นๆของหงี "สู้ๆนะคะ" ...ได้รับการตอบรับเป็นรอยยิ้มเล็กๆ ที่แสดงออกถึงความรู้สึกดีต่อการให้กำลังใจที่หงีให้ ... หงีพอใจแล้ว หงีคิดว่า Mission Complete!!! ... และหงีเชื่อว่า วันนั้น และต่อจากนั้น น้องเค้าจะสามารถทำงานต่อได้ อย่างไม่ต้องรู้สึกไม่ดีต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
อ่อ ... สิ่งที่หงีรู้สึกขอบคุณพระเจ้า และคิดว่า นี่คือสิ่งที่ควรจะเป็นก็คือ เมื่อเดินออกมาจากเครื่องค่ะ ... มีทีม Security รอรับ ผู้โดยสารกร่างคนนั้นอยู่หน้าเครื่องทีเดียว ... หงีเดินผ่านมา แต่ก็ได้ยินบทสนทนาที่ค่อยๆเบาลงไปเรื่อยๆห่ลังจากที่หงีเดินห่างออกมา ... " คุณครับ ... คุณทราบไหมครับ ว่า ความปลอดภัย ....." หงีคิดว่า พี่ๆ Security น่าจะช่วยอธิบายให้ผู้โดยสารคนนั้นได้เข้าใจโลกมากขึ้นแล้ว^^
ในชีวิตเรา ... มีเหตุการณ์มากมายนะคะ ที่หงีคิดว่า มันคล้ายๆกับแบบนี้ ... คือ เราเจอเรื่องราวที่เราคิดว่า เราไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง แต่ที่จริงแล้ว เราสามารถทำอะไรบางอย่างกับมันได้ ไม่มากก็น้อย เช่น หากเห็นความไม่ถูกต้อง จริงๆ เราสามารถช่วยพูด หรือ ช่วยปกป้องสิทธิของคนที่ถูกรังแกได้ ... แต่หลายๆครั้ง เราไม่ได้ทำ เพราะเพียงเราคิดว่า ... มันไม่ใช่เรื่องของเรา หรือ คนอื่นเค้าก็ไม่ทำกัน หรือ หลายๆครั้ง เราคิดว่า ไม่เป็นไรหรอก คงไม่เป็นไรมั้ง ....
ไม่หรอกนะคะ ... หากเรา เพิกเฉย ต่อสิ่งที่เราควรจะทำ ... หงีว่า นั่นคือความอันตรายที่เรากำลังช่วยสร้างให้มันเกิดขึ้นในสังคมเรา ... เช่น หากเราเห็นผู้หญิงกำลังถูกทำร้ายร่างกายโดยสามี หากเราคิดว่า เฮ้ย เรื่องผัวเมีย ... คำถามที่คุณต้องคิดต่อคือ เฮ้ย คุณทำอะไรไม่ได้จริงๆหรือ? คุณช่วยเหลือผู็หญิงคนนั้นให้พ้นจากการถูกทำร้ายร่างกายไม่ได้จริงๆหรือ? หรือเราเพียงแต่ "เพิกเฉย" เพราะคิดว่า มันไม่ใช่เรื่องของตัวเอง?
สุดท้ายนี้ ... หงีอยากฝากไว้นะคะ ... บางครั้ง บางเหตุการณ์ ถ้าเราทำอะไรกับมันได้ ถึงแม้เป็นเพียงส่วนเล็กน้อย ก็ทำเถอะค่ะ ... เพื่อสังคมของเรา โลกใบนี้ของเรา จะเป็นโลกที่เกื้อหนุน ช่วยเหลือกัน และน่าอยู่ยิ่งขึ้น
คืนนี้ดึกมากแล้ว ... ฝันดีนะคะ ขอพระเจ้าอวยพรค่ะ
เอาล่ะ เรื่องที่อยากจะแชร์ในวันนี้ ก็ ... เป็นเรื่องที่ 'ดูเหมือนจะเล็ก' แต่หงีคิดว่า 'เป็นเรื่องใหญ่' นะคะ
เคยมั้ย? ที่เราเห็นการกระทำที่ไม่ถูกไม่ควร แล้วจริงๆ เราสามารถทำอะไรบางอย่างกับมันได้ ... แต่เราก็ 'ไม่ทำ' เพราะคิดว่า เฮ้ย... ไม่ยุ่งดีกว่า ไม่มีอะไรหนิ เดี๋ยวเค้าก็ผ่านมันไปได้เองแหละ .... ยกมือค่ะ ... ไม่ต้องอาย ... หงีก็เคยเป็นค่ะ
ที่หงีหยิบเรื่องนี้ขึ้นมาเล่า ก็เนื่องจากว่า เมื่อวันก่อน ที่หงีเดินทางกลับจากเชียงราย ... ในระหว่างที่เครื่อง Approaching ... ก่อนจะ Landing ... ในระหว่างนั้น จะเป็น Final Cabin Check ของลูกเรือ หรือ แอร์ฯ สจ๊วต นะคะ ... เพื่อตรวจสอบความเรียบร้อยภายในห้องโดยสาร เพื่อให้มีความปลอดภัย และพร้อมต่อการ Evacuate หากเครื่องประสบอุบัติเหตุระหว่างนำเครื่องลงจอด ... สิ่งที่ลูกเรือต้องเช็ค ก็ อาทิเช่น มีกระเป๋าใบใหญ่ หรือ สิ่งกีดขวางทางเดินออกจากที่นั่งของผู้โดยสารหรือไม่ ผู้โดยสารได้รัดเข็มขัดนิรภัยหรือไม่ ม่านหน้าต่างปิดอยู่หรือไม่ ... อะไรพวกเนี้ยะ ... ซึ่ง มันเป็นหน้าที่ของลูกเรือ 'เพื่อความปลอดภัยของผู้โดยสาร' เอง
ในระหว่างที่ลูกเรือเดินตรวจสอบความเรียบร้อยอยู่นั้น หงีก็ได้ยินเสียงโวยวายมาจากด้านหน้า เป็นเสียงของผู้ชาย พูดว่า "ก็หลับอยู่ เอ๊ะ พูดไม่รู้เรื่องหรือไง ไอ้ hia นี่ จะเอาอะไรฮะ!!' มันกักขฬะหยาบคายมาก จนอดจะโผล่หน้าไปดูไม่ได้ ... แล้วที่ช็อคกว่าคือ หงีเห็น ผู้โดยสารคนนั้น พยายามลุกขึ้นยืน และเอื้อมมือไป เหมือนกำลังจะทำร้ายร่างกายสจ๊วตแล้ว ... คุณพระ ... หงีรับไม่ได้มากๆ
เอาล่ะ .. ถึงตรงนี้ ... ถ้าคุณเป็นหงี คุณจะทำอย่างไรคะ? ... ยอมรับค่ะ ว่า ไม่กล้าลุกเดินไปบริเวณที่เกิดเหตุเพื่อห้ามความขัดแย้งที่กำลังเกิดขึ้น ... และ หงีก็คิดว่า มันไม่ใช่จังหวะที่ถูกที่ควรเท่าไหร่ เพราะเครื่องกำลังจะ Landing แล้ว
ณ ตอนนั้นเอง ... หงีคิดเลยว่า หงีต้องทำอะไรซักอย่าง หงีไม่ต้องการปล่อยให้เหตุการณืนี้ผ่านไปแบบนี้ ... การที่ลูกเรือต้องรับการกระทำแบบนั้น เป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง และยิ่งไปกว่านั้น หงีนึกถึงจิตใจของสจ๊วตคนนั้น หงีคิดว่า น้องเค้าคงรู้สึกไม่ดีอย่างมากแน่ๆ ... ในวินาทีนั้น หงีถามตัวเอง และหงีก็ได้คำตอบว่า ตอนเดินลง หงีจะพูดให้กำลังใจน้องเค้า และทีมลูกเรือ ... อย่างน้อย หงีให้ความยุติธรรมกับเค้าไม่ได้ แต่หงีคิดว่า หงีสามารถทำให้จิตใจของเค้า รู้สึกดีขึ้นได้ จากกำลังใจเล็กๆกำลังใจหนึ่ง
สิ่งที่หงีทำ ... คือ ก้มหน้าอธิษฐาน ขอความกล้าจากพระเจ้า ที่จะกล้าพูดกับน้องเค้าอย่างที่ตั้งใจ ... เพราะ มันก็ออกจะเขินอยู่ล่ะนะคะ ... แต่หงีคิดว่า สิ่งที่หงีคิดนั้น ก็เป็นสิ่งที่ควรทำ ... ดังนั้น เมื่อเครื่อง Land เรียบร้อย หงีก็ได้ทำอย่างที่ตั้งใจไว้ ^^ ... คำพูดสั้นๆของหงี "สู้ๆนะคะ" ...ได้รับการตอบรับเป็นรอยยิ้มเล็กๆ ที่แสดงออกถึงความรู้สึกดีต่อการให้กำลังใจที่หงีให้ ... หงีพอใจแล้ว หงีคิดว่า Mission Complete!!! ... และหงีเชื่อว่า วันนั้น และต่อจากนั้น น้องเค้าจะสามารถทำงานต่อได้ อย่างไม่ต้องรู้สึกไม่ดีต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
อ่อ ... สิ่งที่หงีรู้สึกขอบคุณพระเจ้า และคิดว่า นี่คือสิ่งที่ควรจะเป็นก็คือ เมื่อเดินออกมาจากเครื่องค่ะ ... มีทีม Security รอรับ ผู้โดยสารกร่างคนนั้นอยู่หน้าเครื่องทีเดียว ... หงีเดินผ่านมา แต่ก็ได้ยินบทสนทนาที่ค่อยๆเบาลงไปเรื่อยๆห่ลังจากที่หงีเดินห่างออกมา ... " คุณครับ ... คุณทราบไหมครับ ว่า ความปลอดภัย ....." หงีคิดว่า พี่ๆ Security น่าจะช่วยอธิบายให้ผู้โดยสารคนนั้นได้เข้าใจโลกมากขึ้นแล้ว^^
ในชีวิตเรา ... มีเหตุการณ์มากมายนะคะ ที่หงีคิดว่า มันคล้ายๆกับแบบนี้ ... คือ เราเจอเรื่องราวที่เราคิดว่า เราไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง แต่ที่จริงแล้ว เราสามารถทำอะไรบางอย่างกับมันได้ ไม่มากก็น้อย เช่น หากเห็นความไม่ถูกต้อง จริงๆ เราสามารถช่วยพูด หรือ ช่วยปกป้องสิทธิของคนที่ถูกรังแกได้ ... แต่หลายๆครั้ง เราไม่ได้ทำ เพราะเพียงเราคิดว่า ... มันไม่ใช่เรื่องของเรา หรือ คนอื่นเค้าก็ไม่ทำกัน หรือ หลายๆครั้ง เราคิดว่า ไม่เป็นไรหรอก คงไม่เป็นไรมั้ง ....
ไม่หรอกนะคะ ... หากเรา เพิกเฉย ต่อสิ่งที่เราควรจะทำ ... หงีว่า นั่นคือความอันตรายที่เรากำลังช่วยสร้างให้มันเกิดขึ้นในสังคมเรา ... เช่น หากเราเห็นผู้หญิงกำลังถูกทำร้ายร่างกายโดยสามี หากเราคิดว่า เฮ้ย เรื่องผัวเมีย ... คำถามที่คุณต้องคิดต่อคือ เฮ้ย คุณทำอะไรไม่ได้จริงๆหรือ? คุณช่วยเหลือผู็หญิงคนนั้นให้พ้นจากการถูกทำร้ายร่างกายไม่ได้จริงๆหรือ? หรือเราเพียงแต่ "เพิกเฉย" เพราะคิดว่า มันไม่ใช่เรื่องของตัวเอง?
สุดท้ายนี้ ... หงีอยากฝากไว้นะคะ ... บางครั้ง บางเหตุการณ์ ถ้าเราทำอะไรกับมันได้ ถึงแม้เป็นเพียงส่วนเล็กน้อย ก็ทำเถอะค่ะ ... เพื่อสังคมของเรา โลกใบนี้ของเรา จะเป็นโลกที่เกื้อหนุน ช่วยเหลือกัน และน่าอยู่ยิ่งขึ้น
คืนนี้ดึกมากแล้ว ... ฝันดีนะคะ ขอพระเจ้าอวยพรค่ะ
Tuesday, December 15, 2015
ข้อคิดจาก คุณสุรชัย CEO Santa Fe'
สวัสดีค่ะ^^ คิดถึงหงีมั้ย? หุหุ ... หลังจากไม่ได้เขียนนาน ก็ได้ฤกษ์มีเวลาซักทีนะคะ^^
วันก่อนค่ะ ... ด้วยความใจดีของ Food Franchise Institute โดยการเชิญชวนของ คุณเซ็ธ เศรษฐพงศ์ ผดุงพิสุทธิ์ ทำให้หงีและทีมได้มีโอกาสร่วมฟังสัมมนาของ คุณสุรชัย ชาญอนุเดช หรือ คุณเหม็ง CEO Santa Fe' ผู้ซึ่งเป็นบุคคลที่หงีและทีมเห็นเป็นไอดอล และเป็นแรงบันดาลใจในการทำธุรกิจค่ะ
เราจะไม่รอช้า ... หงีจะเหลาข้อคิดที่ได้จากแกให้ฟังเป็นข้อๆ ดังนี้
1. คนเราไม่มีล้มเหลว มีแต่ล้มเลิก
2. ความสุข ความทุกข์ อยู่กับเราไม่นาน ... อยู่ที่เราจะ "บริหาร" มันอย่างไร
3. อย่าเชื่อในสิ่งที่คุณเห็น ... อย่าตัดสินหนังสือจาก 'หน้าปก' .. คนใจสกปรกก็ตัดสินไม่ได้จาก 'หน้าตา' ( โหยยย.... โดนนนน ... คนบางคนหน้าตาเหมือนเป็นคนดี แต่ความจริงแล้ว .. เห้สุดๆ แบบนรกยังขยะแขยง)
4. คิดนอกกรอบ
5. โชคดีที่รู้น้อย ... ทำให้ได้ทำในสิ่งที่ คนรู้เยอะ ไม่ได้ทำ
6. แค่ "กล้า" ก็ชนะไปแล้วครึ่งหนึ่ง
7. อยากสำเร็จ ... อย่าเป็นแค่ "นายทุน" ( คิดในใจ ... อ้าว ... ตายห่า!!!!)
8. จะทำอะไร ต้องเข้าใจ "พฤติกรรมผู้บริโภค" และ ต้องทำให้ถูก "Timing" ( อ๊ะ! .. เหมือนเล่นหุ้นเลยนะเออ :))
9. ความฝัน ถ้าไม่รีบทำ ก็มีวัน "หมดอายุ"
10. เก็บแต้มแรกให้ไว และอย่าลงสนามที่เราไม่ถนัด (เก็บแต้มแรกไม่ค่อยเป็นค่ะพี่ ... ที่ทำอยู่ประจำคือ เก็บเหรียญ 10 บนทางด่วนที่รถสิบล้อวิ่งผ่าน )
11. ก่อนจะทำร้านอาหาร มี 3 สิ่งที่คุณจะต้องพิจารณา คือ ตลาดใช่ไหม? Operation ทำได้ไหม? และ วิเคราะห์การเงินให้เป็น :)
12. โอกาส มักจะมาเมื่อเรา "ไม่พร้อม" เสมอ ... เมื่อเวลาโอกาสมา มันจะรู้สึกกลัวๆ กล้าๆ ร้อนๆ หนาวๆ อยากจะทำ แต่หวั่นๆ .. แต่เรารู้ดีว่า เมื่อทำแล้ว ชีวิตเปลี่ยนแน่นอน และที่สำคัญ เมื่อถามคนอื่น คนอื่นมักจะไม่เห็นด้วย ( เฮ้ย .. เหมือนเวลาเราจะซื้อหุ้นเลอ .. แบบนี้ เราก็พอได้นี่หว่า .... มันใช่เลยนะ.. เวลาเจอหุ้นที่ชอบใจจะคิด เฮ้ยยย มีโอกาสเว่ยยยย ... ลองถามคนอื่นดูดิ๊ ตูมีคุณพิชัย เจ้าพ่อ Contrarian เป็นเจ้าลัทธิ ท่านว่า ถ้าคนอื่นไม่สนใจแปลว่า "น่าซื้อ" ... และที่สำคัญ รู้เลย ซื้อแล้ว ชีวิตกุเปลี่ยนแน่!!! ... เป็นงั้นจริงๆนะ .. เปลี่ยนจาก "คนไม่มีของ" เป็นคน "ติดดอย" ... แสรดดดดดด)
13. คนที่จะ "ชนะ" คือ คนที่ "อยากได้มันมากกว่าคนอื่น"
14. วันใดที่คุณเจองานที่คุณ "รัก" คุณจะรู้สึกเหมือนไม่ได้ "ทำงาน" อีกเลย ( จริงค่ะพี่ .. หนูรู้สึกเหมือน "เข้าบ่อน" ทุกวันเลยยยย)
15. ทำสิ่งที่ "เป็นไปได้" ใช้ "ตรรกะ" .. ทำสิ่งที่ "เป็นไปไม่ได้" ต้องใช้ "ใจ" ( หึ... ถามกุตอนนี้สิ ... ใช้ "ใจ" ล้วนๆ ... ไม่งั้น ไม่"กล้าเทรด" มาจนวันนี้ #ถึงตัวเล็กแต่ใจใหญ่มาก #มึงใจใหญ่ใช่เรื่องไหม?)
16. ถ้าเรามีบางอย่างที่ น้อยกว่าคนอื่น ... เราต้องมี บางอย่างที่มากกว่าคนอื่น ( ค่ะพี่ ... ถึงหนูจะมี "เงิน" น้อยกว่าคนอื่น ... แต่หนูมีความ "กล้าตาย" มากกว่าคนอื่น แฮ่!!!)
17, ความหมายของคำว่า "อดทน" คือ "อด" ในสิ่งที่อยากจะได้ แต่ต้อง "ทน" ในสิ่งที่ไม่อยากได้ ( บอกเลย บทนี้พี่หงีสอบผ่านมาาาาาาาาก ... เป็นผู้มีประสบกานนนนนนน ทำบ่อยยยย ... อด หุ้นรุ่งพุ่งทะลุทุกแนวต้าน และทนกับหุ้นร่วงพุ่งทะลุทุกแนวรับ :) เท่ห์สึส)
18. กระจายอำนาจ คือ หลักการที่พี่เค้าใช้ ( หรือพี่เค้าจะบอกให้เราลองซื้อ "กองทุน" หว่า)
19. อยากได้ Output ใหม่ ต้องเปลี่ยน Input + Process ( ชัดเลอ ... พี่เค้าบอกว่า พอร์ตมึงจะโตขึ้น ถ้าเปลี่ยนคนเทรดและวิธีการ i_i )
20. 7 สิ่งมหัศจรรย์ คือ การได้ยิน ได้ลิ้มรส ได้เห็น ได้กลิ่น ได้สัมผัส มิตรภาพ และ การได้รับ
21. อย่าทำงานเพื่อ "เงิน" จงทำงานเพื่อ "งาน" แล้ว "เงิน" จะตามมา ( รออยู่นะคะพี่^^)
จบ 21 ข้อคิดดีๆที่ได้มาจาก คุณเหม็ง แล้ว ... มีความคิดเห็นส่วนตัวของหงีแทรกไปมั่ง หุหุ ... ก็หวังว่า คนอ่าน จะได้อะไรจากข้อคิดของแก ... หงีและทีม ได้มาเยอะค่ะ ต้องขอขอบพระคุณพี่เหม็งแกมาไว้ ณ ที่นี้ด้วย
สุดท้ายนี้ ... ถึงแม้คุณจะรัก CEO Santa Fe' แต่ขอให้แบ่งที่น้อยๆ ให้กับอาหารของ Hungry Nerd ด้วยนะคะ ... รักน้อยๆ แต่รักนานๆ
รักนะ จุ๊บ จุ๊บ
วันก่อนค่ะ ... ด้วยความใจดีของ Food Franchise Institute โดยการเชิญชวนของ คุณเซ็ธ เศรษฐพงศ์ ผดุงพิสุทธิ์ ทำให้หงีและทีมได้มีโอกาสร่วมฟังสัมมนาของ คุณสุรชัย ชาญอนุเดช หรือ คุณเหม็ง CEO Santa Fe' ผู้ซึ่งเป็นบุคคลที่หงีและทีมเห็นเป็นไอดอล และเป็นแรงบันดาลใจในการทำธุรกิจค่ะ
เราจะไม่รอช้า ... หงีจะเหลาข้อคิดที่ได้จากแกให้ฟังเป็นข้อๆ ดังนี้
1. คนเราไม่มีล้มเหลว มีแต่ล้มเลิก
2. ความสุข ความทุกข์ อยู่กับเราไม่นาน ... อยู่ที่เราจะ "บริหาร" มันอย่างไร
3. อย่าเชื่อในสิ่งที่คุณเห็น ... อย่าตัดสินหนังสือจาก 'หน้าปก' .. คนใจสกปรกก็ตัดสินไม่ได้จาก 'หน้าตา' ( โหยยย.... โดนนนน ... คนบางคนหน้าตาเหมือนเป็นคนดี แต่ความจริงแล้ว .. เห้สุดๆ แบบนรกยังขยะแขยง)
4. คิดนอกกรอบ
5. โชคดีที่รู้น้อย ... ทำให้ได้ทำในสิ่งที่ คนรู้เยอะ ไม่ได้ทำ
6. แค่ "กล้า" ก็ชนะไปแล้วครึ่งหนึ่ง
7. อยากสำเร็จ ... อย่าเป็นแค่ "นายทุน" ( คิดในใจ ... อ้าว ... ตายห่า!!!!)
8. จะทำอะไร ต้องเข้าใจ "พฤติกรรมผู้บริโภค" และ ต้องทำให้ถูก "Timing" ( อ๊ะ! .. เหมือนเล่นหุ้นเลยนะเออ :))
9. ความฝัน ถ้าไม่รีบทำ ก็มีวัน "หมดอายุ"
10. เก็บแต้มแรกให้ไว และอย่าลงสนามที่เราไม่ถนัด (เก็บแต้มแรกไม่ค่อยเป็นค่ะพี่ ... ที่ทำอยู่ประจำคือ เก็บเหรียญ 10 บนทางด่วนที่รถสิบล้อวิ่งผ่าน )
11. ก่อนจะทำร้านอาหาร มี 3 สิ่งที่คุณจะต้องพิจารณา คือ ตลาดใช่ไหม? Operation ทำได้ไหม? และ วิเคราะห์การเงินให้เป็น :)
12. โอกาส มักจะมาเมื่อเรา "ไม่พร้อม" เสมอ ... เมื่อเวลาโอกาสมา มันจะรู้สึกกลัวๆ กล้าๆ ร้อนๆ หนาวๆ อยากจะทำ แต่หวั่นๆ .. แต่เรารู้ดีว่า เมื่อทำแล้ว ชีวิตเปลี่ยนแน่นอน และที่สำคัญ เมื่อถามคนอื่น คนอื่นมักจะไม่เห็นด้วย ( เฮ้ย .. เหมือนเวลาเราจะซื้อหุ้นเลอ .. แบบนี้ เราก็พอได้นี่หว่า .... มันใช่เลยนะ.. เวลาเจอหุ้นที่ชอบใจจะคิด เฮ้ยยย มีโอกาสเว่ยยยย ... ลองถามคนอื่นดูดิ๊ ตูมีคุณพิชัย เจ้าพ่อ Contrarian เป็นเจ้าลัทธิ ท่านว่า ถ้าคนอื่นไม่สนใจแปลว่า "น่าซื้อ" ... และที่สำคัญ รู้เลย ซื้อแล้ว ชีวิตกุเปลี่ยนแน่!!! ... เป็นงั้นจริงๆนะ .. เปลี่ยนจาก "คนไม่มีของ" เป็นคน "ติดดอย" ... แสรดดดดดด)
13. คนที่จะ "ชนะ" คือ คนที่ "อยากได้มันมากกว่าคนอื่น"
14. วันใดที่คุณเจองานที่คุณ "รัก" คุณจะรู้สึกเหมือนไม่ได้ "ทำงาน" อีกเลย ( จริงค่ะพี่ .. หนูรู้สึกเหมือน "เข้าบ่อน" ทุกวันเลยยยย)
15. ทำสิ่งที่ "เป็นไปได้" ใช้ "ตรรกะ" .. ทำสิ่งที่ "เป็นไปไม่ได้" ต้องใช้ "ใจ" ( หึ... ถามกุตอนนี้สิ ... ใช้ "ใจ" ล้วนๆ ... ไม่งั้น ไม่"กล้าเทรด" มาจนวันนี้ #ถึงตัวเล็กแต่ใจใหญ่มาก #มึงใจใหญ่ใช่เรื่องไหม?)
16. ถ้าเรามีบางอย่างที่ น้อยกว่าคนอื่น ... เราต้องมี บางอย่างที่มากกว่าคนอื่น ( ค่ะพี่ ... ถึงหนูจะมี "เงิน" น้อยกว่าคนอื่น ... แต่หนูมีความ "กล้าตาย" มากกว่าคนอื่น แฮ่!!!)
17, ความหมายของคำว่า "อดทน" คือ "อด" ในสิ่งที่อยากจะได้ แต่ต้อง "ทน" ในสิ่งที่ไม่อยากได้ ( บอกเลย บทนี้พี่หงีสอบผ่านมาาาาาาาาก ... เป็นผู้มีประสบกานนนนนนน ทำบ่อยยยย ... อด หุ้นรุ่งพุ่งทะลุทุกแนวต้าน และทนกับหุ้นร่วงพุ่งทะลุทุกแนวรับ :) เท่ห์สึส)
18. กระจายอำนาจ คือ หลักการที่พี่เค้าใช้ ( หรือพี่เค้าจะบอกให้เราลองซื้อ "กองทุน" หว่า)
19. อยากได้ Output ใหม่ ต้องเปลี่ยน Input + Process ( ชัดเลอ ... พี่เค้าบอกว่า พอร์ตมึงจะโตขึ้น ถ้าเปลี่ยนคนเทรดและวิธีการ i_i )
20. 7 สิ่งมหัศจรรย์ คือ การได้ยิน ได้ลิ้มรส ได้เห็น ได้กลิ่น ได้สัมผัส มิตรภาพ และ การได้รับ
21. อย่าทำงานเพื่อ "เงิน" จงทำงานเพื่อ "งาน" แล้ว "เงิน" จะตามมา ( รออยู่นะคะพี่^^)
จบ 21 ข้อคิดดีๆที่ได้มาจาก คุณเหม็ง แล้ว ... มีความคิดเห็นส่วนตัวของหงีแทรกไปมั่ง หุหุ ... ก็หวังว่า คนอ่าน จะได้อะไรจากข้อคิดของแก ... หงีและทีม ได้มาเยอะค่ะ ต้องขอขอบพระคุณพี่เหม็งแกมาไว้ ณ ที่นี้ด้วย
สุดท้ายนี้ ... ถึงแม้คุณจะรัก CEO Santa Fe' แต่ขอให้แบ่งที่น้อยๆ ให้กับอาหารของ Hungry Nerd ด้วยนะคะ ... รักน้อยๆ แต่รักนานๆ
รักนะ จุ๊บ จุ๊บ
Monday, December 7, 2015
Caleb camp 2015
ก่อนวันนี้จะผ่านไป ... ก่อนเรื่องราวที่ได้เรียนรู้จะจางหาย และอาจถูกลืมเลือน
หงีอยากจะเขียนบันทึกนี้ไว้ เพื่อเตือนใจ ... ไม่ว่าจะเข้ามาอ่านเมื่อไหร่ หงีก็จะระลึกถึง ความจริงเกี่ยวกับชีวิต ที่หงีได้เรียนรู้จาก ค่ายคาเลบ ปี 2015 ที่พึ่งจบลงในวันนี้
1. คนมีความสามารถนั้น มีเยอะมาก
2. ความเก่ง ไม่สำคัญเท่าความพยายาม
3. แท้จริงแล้ว ... เราไม่มีอะไรเลย ... ทุกอย่างล้วนมาจากพระเจ้า ไม่ว่าจะสติปัญญา กำลัง ความสามารถ หรือ เกียรติยศชื่อเสียงทั้งปวง
4. คุณอาจจะคิดว่า คุณมีความเขื่อที่เข้มแข็ง และพระเจ้าอวยพรคุณ ... ในความจริงแล้ว คุณอาจจะเข้าใจผิดทั้งหมด
5. ความสำเร็จ การได้รับการชื่นชมบนโลกนี้ ใช่สิ่งที่คุณต้องการจริงหรือ? คุณอาจทำ 'ถูก' ทั้งหมด ตามความนิยมของคนบนโลก แต่ คุณอาจผิดต่อสิ่งที่มันควรจะเป็นนะ
6. แท้จริงแล้ว ... การเชื่อฟัง และปฏิบัติตามคำสอนของพระเจ้า ... ถ้าหาก ตัดสิ่งที่เรารู้กันอยู่แล้ว ว่าพระเจ้าจะอวยพระพร ... หงีขอนำเสนออีกมุมหนึ่งก็คือ ถ้าหากคุณเชื่อฟังและปฏิบัติตาม ... คุณจะเป็นคนดี เป็นคนน่ารัก เป็นคนถ่อมตัวและถ่อมใจ ซึ่งเป็นที่ชื่นชอบของมนุษย์บนโลกนี้ไง ... ประโยชน์อะไรที่จะมีสมบัติมากมาย แต่ไม่มีใครรัก และนอนหลับสะดุ้งอยู่ทุกคืน
7. คุณอาจจะคิดว่า คุณตัดบางคนที่คุณรู้สึกไม่ถูกใจ เข้ากันไม่ได้ ออกจากชีวิตได้ ... คำถามก็คือ มันจะมีอีกกี่คน? และท้ายที่สุด มันจะเป็นยังไง ถ้าคุณมองไปทางไหน ก็เจอแต่คนเหล่านี้ที่ทำให้คุณรู้สึกเกร็ง
8. สติปัญญา และเงินทองก็ไร้ความหมาย ในวันที่ 'สุขภาพ' ของคุณไม่ดี
9. อย่าย่ามใจ ทดลอง 'บาป' ... เมื่อคุณได้เฉียดใกล้แล้ว ท้ายที่สุด คุณจะอดใจไม่ได้ และลองกระทำ ... เมื่อลองกระทำไปสักระยะ คุณจะพบว่า 'ความละอายต่อบาป' นั้นหายไป
10. หงีทบทวนสไตล์การเล่นหุ้นใหม่ ... หงีพบว่า หากเราบอกว่า การเล่นหุ้น คือ การลงทุน ... การตัดสินใจซื้อขาย ควรทำอยู่บนหลักของการวิเคราะห์กิจการ และราคาเหมาะสม ซึ่งคือแนว Fundamental ... โดยหากเน้น technical และอิงทฤษฎีที่จะต้องทำกำไรจากการดู 'อารมณ์ตลาด' และ 'จิตวิทยามวลชน' แล้ว ... หงีก็คิดว่า มันอาจจะไม่ใช่นิยามของการ 'ลงทุนในหุ้น' ... แต่เป็นการ 'ทำกำไรจากการอ่านเกมส์การลงทุน' ... ซึ่งหงีต้องใคร่ครวญอย่างหนักว่า แนวทางไหนกันแน่ที่หงีควรจะยึดถือปฏิบัติตาม ... แหะๆ เดาไม่ยากหรอก ... แต่ก็บอกเลย มันไม่ง่ายนะ ที่จะปฏิบัติตามให้ได้ เพราะเราปฏิเสธไม่ได้ว่า หากต้องการทำกำไรในระยะไม่ยาวนัก และมีเงินหมุนเวียน ... การใช้เทคนิคอลเทรดนั้น จะตอบโจทย์สิ่งนี้ ... หากแต่วันนี้ หงีต้องการ Maximum Profit โดยการ 'อ่านเกมส์' หรือ ต้องการจะปฏิบัติในแนวทางที่เป็น 'การลงทุน' จริงๆ อย่างปากว่ากันแน่ ... อะไร คือ สิ่งที่ควรทำ ... โปรดฟังให้เข้าใจ มิได้บอกว่า แนวทางใด ถูก หรือผิดปต่กำลังบอกว่า แตวทางใด ที่เป็นการซื่อสัตย์ต่อหลักปฏิบัติที่ตัวหงีเองยึดถือ และควรจะเป็น
11. สิ่งใดที่ไม่ได้มาจากพระเจ้า แล้วเราดื้อจะหยิบฉวยไว้ ... ของแถมที่จะได้ คือ ความทุกข์ใจ และหยาดน้ำตา
12. ถ้าหากเราไม่เฝ้าเดี่ยว ไม่อ่านพระคัมภีร์ ... มันจะทำให้เราเป๋ได้ ... เราจะนึกไม่ออกว่า ที่เหมาะ ที่ควรนั้น เราควรทำอย่สงไร คิดอย่างไร มีท่าทีอย่างไร
13. หงีจะรักผู้คนให้มากขึ้น ถ่อมตน ถ่อมใจให้มากขึ้น และอ่อนโยน เป็นที่สุขใจของผู้คนให้มากขึ้น
14. แท้จริงแล้ว ชีวิตมันผ่านไปเร็วมาก หวีคงจะเสียใจเป็นบ้าเป็นหลังในวันที่ป๊าม๊าจากไป ... แต่มันเป็นสัจธรรมที่ต้องรับให้ไหว เพราะอีกไม่นานจากนี้ เราก็จะต้องทิ้งโลกนี้ไปเหมือนกัน ...31 ปี มันผ่านไปเร็วราวกับกะพริบตา ... แล้วอีก 30 ปีข้างหน้า เวลาจะเดินช้าก็คงไม่ใช่
15. พระเจ้าไม่เคยสาย และพระองค์ให้ในสิ่งที่เหมาะสม ในเวลาที่สมควรเสมอ ... หงีเคยทำงาน สนุกกับการทำงานในบริษัทใหญ่ ในเนื้องานที่ท้าทายความสามารถทางสติปัญญา เพียงเพื่อเวลาผ่านไปให้ได้มีคำถามกับตัวเองว่า ขีวิตมีเท่านี้เองหรือ? ตื่นนอน ไป 'นั่ง' ในออฟฟิศ ทำงาน แล้วก็นอน เพื่อตื่นนอนแบะทำอย่างเดิมอาทิตย์ละ 5 วัน จนหัวใจถามถึงความหมาย ว่า การใช้ขีวิตนั้น เป็นอย่างไร ... เวลาผ่านไป แบะในวันนี้ พระเจ้าให้คำตอบ และให้สิ่งที่หงีต้องการแล้ว ... พระเจ้า ให้หงีได้ ใช้ชีวิต ของหงี ในแบบที่หงีพอใจ
เขียนมาก็ยาวมาก ได้เวลาต้องไปอ่านพระคัมภีร์ก่อนจะดึกกว่านี้ ... เมื่อชีวิตดพเนินมาถึงจุดนี้ บอกเลย วันนี้สุขภาพไม่เหมือนเดิม นอนดุกกว่านี้ก็จะเวียนหัว วูบ อาการเหมือนคนน้ำในหูไม่เท่ากัน ... แต่ถึงอย่างนั้น ก็ยัง ขอบคุณพระเจ้าค่ะ หงีรู้ดี พระองค์ไม่เคยให้อะไรเกิดขึ้นโดยไม่มีเหตุผล
ขอพระเจ้าเมตตาเรา ... ขอทุกคนที่ได้อ่านยทความนี้ ทั้งที่เป็นคริสเตียน และไม่เป็น ได้คิด ได้เรียนรู้อะไรบางอย่างบ้าง ... ก็เป็นความหวังเล็กๆของคนเขียน :)
Good night ka
หงีอยากจะเขียนบันทึกนี้ไว้ เพื่อเตือนใจ ... ไม่ว่าจะเข้ามาอ่านเมื่อไหร่ หงีก็จะระลึกถึง ความจริงเกี่ยวกับชีวิต ที่หงีได้เรียนรู้จาก ค่ายคาเลบ ปี 2015 ที่พึ่งจบลงในวันนี้
1. คนมีความสามารถนั้น มีเยอะมาก
2. ความเก่ง ไม่สำคัญเท่าความพยายาม
3. แท้จริงแล้ว ... เราไม่มีอะไรเลย ... ทุกอย่างล้วนมาจากพระเจ้า ไม่ว่าจะสติปัญญา กำลัง ความสามารถ หรือ เกียรติยศชื่อเสียงทั้งปวง
4. คุณอาจจะคิดว่า คุณมีความเขื่อที่เข้มแข็ง และพระเจ้าอวยพรคุณ ... ในความจริงแล้ว คุณอาจจะเข้าใจผิดทั้งหมด
5. ความสำเร็จ การได้รับการชื่นชมบนโลกนี้ ใช่สิ่งที่คุณต้องการจริงหรือ? คุณอาจทำ 'ถูก' ทั้งหมด ตามความนิยมของคนบนโลก แต่ คุณอาจผิดต่อสิ่งที่มันควรจะเป็นนะ
6. แท้จริงแล้ว ... การเชื่อฟัง และปฏิบัติตามคำสอนของพระเจ้า ... ถ้าหาก ตัดสิ่งที่เรารู้กันอยู่แล้ว ว่าพระเจ้าจะอวยพระพร ... หงีขอนำเสนออีกมุมหนึ่งก็คือ ถ้าหากคุณเชื่อฟังและปฏิบัติตาม ... คุณจะเป็นคนดี เป็นคนน่ารัก เป็นคนถ่อมตัวและถ่อมใจ ซึ่งเป็นที่ชื่นชอบของมนุษย์บนโลกนี้ไง ... ประโยชน์อะไรที่จะมีสมบัติมากมาย แต่ไม่มีใครรัก และนอนหลับสะดุ้งอยู่ทุกคืน
7. คุณอาจจะคิดว่า คุณตัดบางคนที่คุณรู้สึกไม่ถูกใจ เข้ากันไม่ได้ ออกจากชีวิตได้ ... คำถามก็คือ มันจะมีอีกกี่คน? และท้ายที่สุด มันจะเป็นยังไง ถ้าคุณมองไปทางไหน ก็เจอแต่คนเหล่านี้ที่ทำให้คุณรู้สึกเกร็ง
8. สติปัญญา และเงินทองก็ไร้ความหมาย ในวันที่ 'สุขภาพ' ของคุณไม่ดี
9. อย่าย่ามใจ ทดลอง 'บาป' ... เมื่อคุณได้เฉียดใกล้แล้ว ท้ายที่สุด คุณจะอดใจไม่ได้ และลองกระทำ ... เมื่อลองกระทำไปสักระยะ คุณจะพบว่า 'ความละอายต่อบาป' นั้นหายไป
10. หงีทบทวนสไตล์การเล่นหุ้นใหม่ ... หงีพบว่า หากเราบอกว่า การเล่นหุ้น คือ การลงทุน ... การตัดสินใจซื้อขาย ควรทำอยู่บนหลักของการวิเคราะห์กิจการ และราคาเหมาะสม ซึ่งคือแนว Fundamental ... โดยหากเน้น technical และอิงทฤษฎีที่จะต้องทำกำไรจากการดู 'อารมณ์ตลาด' และ 'จิตวิทยามวลชน' แล้ว ... หงีก็คิดว่า มันอาจจะไม่ใช่นิยามของการ 'ลงทุนในหุ้น' ... แต่เป็นการ 'ทำกำไรจากการอ่านเกมส์การลงทุน' ... ซึ่งหงีต้องใคร่ครวญอย่างหนักว่า แนวทางไหนกันแน่ที่หงีควรจะยึดถือปฏิบัติตาม ... แหะๆ เดาไม่ยากหรอก ... แต่ก็บอกเลย มันไม่ง่ายนะ ที่จะปฏิบัติตามให้ได้ เพราะเราปฏิเสธไม่ได้ว่า หากต้องการทำกำไรในระยะไม่ยาวนัก และมีเงินหมุนเวียน ... การใช้เทคนิคอลเทรดนั้น จะตอบโจทย์สิ่งนี้ ... หากแต่วันนี้ หงีต้องการ Maximum Profit โดยการ 'อ่านเกมส์' หรือ ต้องการจะปฏิบัติในแนวทางที่เป็น 'การลงทุน' จริงๆ อย่างปากว่ากันแน่ ... อะไร คือ สิ่งที่ควรทำ ... โปรดฟังให้เข้าใจ มิได้บอกว่า แนวทางใด ถูก หรือผิดปต่กำลังบอกว่า แตวทางใด ที่เป็นการซื่อสัตย์ต่อหลักปฏิบัติที่ตัวหงีเองยึดถือ และควรจะเป็น
11. สิ่งใดที่ไม่ได้มาจากพระเจ้า แล้วเราดื้อจะหยิบฉวยไว้ ... ของแถมที่จะได้ คือ ความทุกข์ใจ และหยาดน้ำตา
12. ถ้าหากเราไม่เฝ้าเดี่ยว ไม่อ่านพระคัมภีร์ ... มันจะทำให้เราเป๋ได้ ... เราจะนึกไม่ออกว่า ที่เหมาะ ที่ควรนั้น เราควรทำอย่สงไร คิดอย่างไร มีท่าทีอย่างไร
13. หงีจะรักผู้คนให้มากขึ้น ถ่อมตน ถ่อมใจให้มากขึ้น และอ่อนโยน เป็นที่สุขใจของผู้คนให้มากขึ้น
14. แท้จริงแล้ว ชีวิตมันผ่านไปเร็วมาก หวีคงจะเสียใจเป็นบ้าเป็นหลังในวันที่ป๊าม๊าจากไป ... แต่มันเป็นสัจธรรมที่ต้องรับให้ไหว เพราะอีกไม่นานจากนี้ เราก็จะต้องทิ้งโลกนี้ไปเหมือนกัน ...31 ปี มันผ่านไปเร็วราวกับกะพริบตา ... แล้วอีก 30 ปีข้างหน้า เวลาจะเดินช้าก็คงไม่ใช่
15. พระเจ้าไม่เคยสาย และพระองค์ให้ในสิ่งที่เหมาะสม ในเวลาที่สมควรเสมอ ... หงีเคยทำงาน สนุกกับการทำงานในบริษัทใหญ่ ในเนื้องานที่ท้าทายความสามารถทางสติปัญญา เพียงเพื่อเวลาผ่านไปให้ได้มีคำถามกับตัวเองว่า ขีวิตมีเท่านี้เองหรือ? ตื่นนอน ไป 'นั่ง' ในออฟฟิศ ทำงาน แล้วก็นอน เพื่อตื่นนอนแบะทำอย่างเดิมอาทิตย์ละ 5 วัน จนหัวใจถามถึงความหมาย ว่า การใช้ขีวิตนั้น เป็นอย่างไร ... เวลาผ่านไป แบะในวันนี้ พระเจ้าให้คำตอบ และให้สิ่งที่หงีต้องการแล้ว ... พระเจ้า ให้หงีได้ ใช้ชีวิต ของหงี ในแบบที่หงีพอใจ
เขียนมาก็ยาวมาก ได้เวลาต้องไปอ่านพระคัมภีร์ก่อนจะดึกกว่านี้ ... เมื่อชีวิตดพเนินมาถึงจุดนี้ บอกเลย วันนี้สุขภาพไม่เหมือนเดิม นอนดุกกว่านี้ก็จะเวียนหัว วูบ อาการเหมือนคนน้ำในหูไม่เท่ากัน ... แต่ถึงอย่างนั้น ก็ยัง ขอบคุณพระเจ้าค่ะ หงีรู้ดี พระองค์ไม่เคยให้อะไรเกิดขึ้นโดยไม่มีเหตุผล
ขอพระเจ้าเมตตาเรา ... ขอทุกคนที่ได้อ่านยทความนี้ ทั้งที่เป็นคริสเตียน และไม่เป็น ได้คิด ได้เรียนรู้อะไรบางอย่างบ้าง ... ก็เป็นความหวังเล็กๆของคนเขียน :)
Good night ka
Subscribe to:
Posts (Atom)