วันนี้ ... เป็น วันอาทิตย์ ... เป็น วันสะบาโต หรือ วันหยุดพัก ... ตามหลักคำสอนของศาสนาคริสต์ คือ ใน 1 สัปดาห์ เราทำงานต่างๆ อย่างเต็มที่แล้ว ก็จะต้องมี 1 วัน ที่เป็นวันหยุดพัก^^
วันนี้ ก็เป็น วันหยุดพัก ของหงีค่ะ ที่หงีจะใช้เวลาในการพักผ่อน และ พักสงบอยู่ในพระเจ้า
เช้าวันนี้ หงีตื่นขึ้นมาพร้อมกับความรู้สึกขอบพระคุณ ที่พระเจ้าได้ประทานสิ่งดีแก่หงีมากมาย
แล้วก็เลยคิดไปถึงคนหลายๆคนที่หงีรู้จัก รวมถึงคนที่มีชื่อเสียง ถึงความสำเร็จของพวกเค้าที่น่าชื่นชมยินดี ... แล้วอยู่ดีๆ คำพูดคำพูดนึง ก็ลอยขึ้นมาในหัว ... "แต่โอกาสของคนเรา ไม่เท่ากัน"
คิดดู พิจารณาดู ก็เห็นว่า จริงนะคะ ... มีคำพูดๆนึงบอกว่า Success = Talent + A lot of Luck ... หงีเชื่อนะ ... จริงมั้ยล่ะ? ที่ชีวิตนี้ มีเรื่องมากมายที่ไม่วามารถอธิบายได้ โอกาสบางโอกาส ก็เดินมสหาเราโดยไม่คาดคิด ... จริงอยู่ว่า ส่วนนึงเราติองเปิดโอกาสให้ตัวเอง ทำหลายๆอย่างเพื่อเป๋นการนำมาซึ่งโอกาสทั้งหลายทั้งปวง ... แต่เราจะ 'ได้รับโอกาสที่ดี' ไม่ได้เลย ถ้าเราไม่มี 'Luck' หรือ 'โชค'
หลายครั้ง ... ชีวิต ก็เป็นเรื่อง อนิจจัง นะคะ ... เราเกิดมา ถ้าหากพระเจ้าเมตตา ประทานสิ่งดีหลายอย่างให้ ก็มีโอกาสจะมีชีวิตที่ดี ... แต่หากเราได้พบเจอคนที่เค้ามีโอกาสน้อยกว่า และบางที แทบไม่เห็นทางไหนที่จะทำให้ชีวิตดีขึ้นได้ มันก็เป็นเรื่องน่าเห็นใจ
แต่ยังไงก็แล้วแต่ หงีก็เชิ่อว่า พระเจ้าประทานสิ่งดีแก่เรา ไม่ใช่เพื่อให้เราเห็นแก่ตัว ... แต่ให้รู้จักแบ่งปัน แก่คนที่ต้องการ ... และในทางเดียวกัน คนที่เกิดมาโชคไม่ดีนัก ก็ไม่ได้หมายความว่า ชีวิตของเขานั้นน่าสมเพชแต่อย่างใด ... เราไม่มีทางรู้หรอก ว่า พระเจ้ามีจุดประสงค์อะไรในชีวิตเค้า ... และอันที่จริงแล้ว นอกเหนือจากสิ่งดีทั้งปวง เค้าอาจจะมีความสุข และสันติสุขในใจ มากกว่า คนโชคดีทั้งหลายก็เปฺนได้^^
อย่างไรก็ตาม ... หงีคิดว่า การให้นั้น ดีเสมอ ... และหลายๆครั้ง การให้ ก็ไม่ได้หมายถึงเพียง เงินทอง ... มันอาจจะเป็นเพียงคำพูดหนุนใจ หรือน้ำใจเพียงเล็กน้อย แต่มันช่วย 'ให้โอกาส' ในการมีชีวิต มีสภาพจิตใจที่ดีขึ้นแก่คนอื่น ... สิ่งเหล่านี้ ไม่ได้ต้องการทรัพย์สมบัติมากมาย ... เพียงแต่ต้องการ 'ใจ' ที่ 'รู้จักให้' เท่านั้น^^
ขอพระเจ้าอวยพรทุกท่าน ... สุขสันต์วันพักผ่อนค่ะ
Sunday, November 22, 2015
Monday, November 9, 2015
ความน่าประทับใจของผู้บริหาร LPN และ LH
รีบพิมพ์เก็บไว้ๆๆๆ ... กลัววันนึงจะลืมรายละเอียด ^^
ต้องขอขอบพระคุณ พี่ป๊อก ด้วย ... สำหรับข้อมูลดีๆ ที่น่าประทับใจ และทำให้หงีได้เรียนรู้วิธีคิดของผู้บริหารบริษัทอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของประเทศ
สิ่งที่หงีได้เรียนรู้มาในวันนี้ ... ไม่ใช่ กลเม็ดเด็ดพราย อะไร ที่ทำให้ธุรกิจของพวกท่านมีรายได้แบบก้าวกระโดด เติบโตในชั่วข้ามคืน ... แต่หงีเชื่อว่า สิ่งที่หงีกำลังจะแชร์นี้แหละ เป็น "หัวใจสำคัญ" ที่ทำให้บริษัทของท่าน เติบโตอย่างมั่นคง และยั่งยืน ....
มาเริ่มกันที่ ผู้บริหาร LPN : คุณทิฆัมพร เปล่งศรีสุข ... ผู้ก่อตั้งและผู้บริหารสูงสุดของ LPN ... ความน่าประทับใจของท่าน คือ ท่านรู้จักบุญคุณคน ... พี่ป๊ฮกเล่าให้ฟังว่า ในสมัยที่ LPN นั้นประสบปัญหา ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ อยู่ในช่วงฟองสบู่แตก ... LPN เคย ไม่มีเงินจ่าย Supplier!!! แต่สิ่งที่น่าชื่นใจ คือ ในยามวิกฤตินั้น Supplier ของ LPN ไม่เคยทิ้งแก ... Supplier ให้ของมาใช้ก่อน เงินทีหลัง!!! ทั้งๆที่ ก็ไม่ทราบว่าจะได้เงินคืนเมื่อไหร่ ... ทำให้ในเวลานั้น LPN สามารถพลิกฟื้นธุรกิจมาได้ และในวันนี้ ที่ LPN เฟื่องฟู ... ท่านเอง ก็ไม่เคยลืมบุญคุณ ... ยังคงใช้ Supplier เจ้าเดิมตลอดมา โดยไม่คิดเปลี่ยนใจ แม้เจ้าอื่นอาจจะราคาถูกกว่า
นอกจากนี้ ... ปรัชญาการดูแลคนของค่า LPN ยังเป็นทีเลื่องลือ คือ เรียกง่ายๆว่า ดูแลดีมาาาาาาาาาก ... ผู้บริหารเน้นให้พนักงานมีสมดุลชีวิต 6 โมงไล่กลับบ้าน ... ให้สวัสดิการดีๆ ส่งเสริมการศึกษา และให้ผลตอบแทนที่เหมาะสม ... เพราะท่านเชื่อว่า "หากพนักงานมีความสุขแล้ว ก็จะสามารถให้บริการที่ดีกับลูกค้า และลูกค้าก็จะมีความสุขด้วย"
มาถึงท่านผู้บริหาร LH : คุณอนันต์ อัศวโภคิน ... สำหรับท่านนี้ หงีเชื่อว่า หลายท่านคงจะเคยได้อ่านแนวคิดดีๆของท่านมามากมายแล้ว แต่สิ่งที่หงีได้เรียนรู้ใหม่ในวันนี้ และเป็นสิ่งที่ประทับใจ คือ แนวคิดของท่านในการสร้าง Ternimal21 ที่พี่ป๊อกเล่าให้ฟังว่า ท่านมีความคิดว่า ทำไมคนเงินเดือน 15,000 บาท จึงต้องเดินซ์้อของตามตลาดนัดที่ร้อนๆ ... ทำไม เขาจะมาซื้อของในห้างที่มีแอร์เย็นๆไม่ได้ ... คือ สะท้อนให้เห็นถึงแนวคิดว่า ท่านต้องการสร้าง ห้างสรรพสินค้า สำหรับกลุ่มคนเงินเดือนไม่สูง ให้สามารถมี Shopping Experience ที่ดีได้ ... ซึ่งนอกจากนี้ พี่เกรซ ซึ่งเธอก็ทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เช่นกัน ก็ได้เคยเล่าให้ฟังว่า คุณอนันต์ นั้นมีชื่อเสียงด้านเป็นคนทำธุรกิจที่มีคุณธรรม และมีความซื่อตรงมาก
เรื่องที่หงีซึมซับมานี้ จากการรับฟังจากการบอกเล่าของพี่ๆ เพื่อนๆ รวมถึงจากการได้มีโอกาสอ่านเรื่องราวของนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จหลายๆท่าน ... ก็เหมือน น้ำซึมบ่อทราย ... ค่อยๆซึมซับ ค่อยๆเรียนรู้ ... และหงีเชื่อว่า ในที่สุดแล้ว สิ่งที่หงีต้องการจะเป็น ไม่ใช่ นักธุรกิจที่ทำเงินได้มหาศาล แต่เป็น นักธุรกิจที่มีคุณธรรมและสามารถสร้างบริษัทให้เติบโตอย่างยั่งยืน^^
เพราะหงีคิดว่า หงีจะทำเงินมากกว่า จาก "การลงทุน" ... ฮี่ๆๆๆๆ
สวัสดี
ต้องขอขอบพระคุณ พี่ป๊อก ด้วย ... สำหรับข้อมูลดีๆ ที่น่าประทับใจ และทำให้หงีได้เรียนรู้วิธีคิดของผู้บริหารบริษัทอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของประเทศ
สิ่งที่หงีได้เรียนรู้มาในวันนี้ ... ไม่ใช่ กลเม็ดเด็ดพราย อะไร ที่ทำให้ธุรกิจของพวกท่านมีรายได้แบบก้าวกระโดด เติบโตในชั่วข้ามคืน ... แต่หงีเชื่อว่า สิ่งที่หงีกำลังจะแชร์นี้แหละ เป็น "หัวใจสำคัญ" ที่ทำให้บริษัทของท่าน เติบโตอย่างมั่นคง และยั่งยืน ....
มาเริ่มกันที่ ผู้บริหาร LPN : คุณทิฆัมพร เปล่งศรีสุข ... ผู้ก่อตั้งและผู้บริหารสูงสุดของ LPN ... ความน่าประทับใจของท่าน คือ ท่านรู้จักบุญคุณคน ... พี่ป๊ฮกเล่าให้ฟังว่า ในสมัยที่ LPN นั้นประสบปัญหา ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ อยู่ในช่วงฟองสบู่แตก ... LPN เคย ไม่มีเงินจ่าย Supplier!!! แต่สิ่งที่น่าชื่นใจ คือ ในยามวิกฤตินั้น Supplier ของ LPN ไม่เคยทิ้งแก ... Supplier ให้ของมาใช้ก่อน เงินทีหลัง!!! ทั้งๆที่ ก็ไม่ทราบว่าจะได้เงินคืนเมื่อไหร่ ... ทำให้ในเวลานั้น LPN สามารถพลิกฟื้นธุรกิจมาได้ และในวันนี้ ที่ LPN เฟื่องฟู ... ท่านเอง ก็ไม่เคยลืมบุญคุณ ... ยังคงใช้ Supplier เจ้าเดิมตลอดมา โดยไม่คิดเปลี่ยนใจ แม้เจ้าอื่นอาจจะราคาถูกกว่า
นอกจากนี้ ... ปรัชญาการดูแลคนของค่า LPN ยังเป็นทีเลื่องลือ คือ เรียกง่ายๆว่า ดูแลดีมาาาาาาาาาก ... ผู้บริหารเน้นให้พนักงานมีสมดุลชีวิต 6 โมงไล่กลับบ้าน ... ให้สวัสดิการดีๆ ส่งเสริมการศึกษา และให้ผลตอบแทนที่เหมาะสม ... เพราะท่านเชื่อว่า "หากพนักงานมีความสุขแล้ว ก็จะสามารถให้บริการที่ดีกับลูกค้า และลูกค้าก็จะมีความสุขด้วย"
มาถึงท่านผู้บริหาร LH : คุณอนันต์ อัศวโภคิน ... สำหรับท่านนี้ หงีเชื่อว่า หลายท่านคงจะเคยได้อ่านแนวคิดดีๆของท่านมามากมายแล้ว แต่สิ่งที่หงีได้เรียนรู้ใหม่ในวันนี้ และเป็นสิ่งที่ประทับใจ คือ แนวคิดของท่านในการสร้าง Ternimal21 ที่พี่ป๊อกเล่าให้ฟังว่า ท่านมีความคิดว่า ทำไมคนเงินเดือน 15,000 บาท จึงต้องเดินซ์้อของตามตลาดนัดที่ร้อนๆ ... ทำไม เขาจะมาซื้อของในห้างที่มีแอร์เย็นๆไม่ได้ ... คือ สะท้อนให้เห็นถึงแนวคิดว่า ท่านต้องการสร้าง ห้างสรรพสินค้า สำหรับกลุ่มคนเงินเดือนไม่สูง ให้สามารถมี Shopping Experience ที่ดีได้ ... ซึ่งนอกจากนี้ พี่เกรซ ซึ่งเธอก็ทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เช่นกัน ก็ได้เคยเล่าให้ฟังว่า คุณอนันต์ นั้นมีชื่อเสียงด้านเป็นคนทำธุรกิจที่มีคุณธรรม และมีความซื่อตรงมาก
เรื่องที่หงีซึมซับมานี้ จากการรับฟังจากการบอกเล่าของพี่ๆ เพื่อนๆ รวมถึงจากการได้มีโอกาสอ่านเรื่องราวของนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จหลายๆท่าน ... ก็เหมือน น้ำซึมบ่อทราย ... ค่อยๆซึมซับ ค่อยๆเรียนรู้ ... และหงีเชื่อว่า ในที่สุดแล้ว สิ่งที่หงีต้องการจะเป็น ไม่ใช่ นักธุรกิจที่ทำเงินได้มหาศาล แต่เป็น นักธุรกิจที่มีคุณธรรมและสามารถสร้างบริษัทให้เติบโตอย่างยั่งยืน^^
เพราะหงีคิดว่า หงีจะทำเงินมากกว่า จาก "การลงทุน" ... ฮี่ๆๆๆๆ
สวัสดี
Saturday, November 7, 2015
ผู้บริหารเลว กับ Investor Return
สวัสดีทุกท่านค่ะ^^ อิอิ ... จั่วหัวโหดนิดนุง แต่ก็เป็นมุมที่สำคัญนะคะ
หงีเองแชร์บทความเรื่องการลงทุนอยู่หลายครั้ง และทุกครั้ง มักเป็นแนว hard side คือ ทฤษฎีบ้าง, เศรษฐศาสตร์บ้าง,เทคนิคอลบ้าง ... แต่ไม่เคยเขียนเกี่ยวกับ 'ความเป็นคนดี ไม่ดีผู้บริหาร' ซึ่งหงีเรียกว่า เป็น soft side เลย
ย้อนกลับไปเมื่อตอนเริ่มลงทุนใหม่ๆ ... มีมุมมองว่า ไม่เป็นไร ตราบใด return ดี ราคาไป I dont care ... ไม่ว่า คุณจะเลวแต่ไหน โกงอย่างไร ไม่สน ขอแต่ฉัยได้ return เป็นที่น่าพอใจ ก็พอแล้ว ....
เวลาผ่านไป ... มุมมองนี้ ได้พิสูจน์แล้วว่า 'อันตราย'
ย้อนกลับไปเมื่อปี 2001 ... Case Enron ... That's one obvious prove ว่า วิธีคิดแบบไม่สนใจความดีความเลว ผู้บริหารนั้น ... ผิด!!!!! เพราะเคสนั้น สร้างความเสียหายแก่ผู้ถือหุ้นมหาศาล หลายคนหมดเนื้อหมดตัว ( สำหรับผู้ที่สนใจ สามารถหารายละเอียดอ่านได้ใน google นะคะ^^)
หันกลับมาดูของใกล้ตัว ... ตลาดหุ้นในบ้านเรา ... มีหุ้นหลายตัวนะคะ ที่พอเอ่ยชื่อแล้ว นักลงทุนผู้มีประสบการณ์และความรู้ ร้องยี้!!!! ไม่อยากยุ่งเกี่ยว เพราะ CG ห่วย ผู้บริหารขี้โกง ... แล้วท่านเล่าอภินิหารของมันในอดีตว่า เพิ่มทุนซ้ำซาก แตกพาร์ สร้างสตอรี่ ทำพีพี จิปาถะ ที่ท้ายที่สุด คนเสียประโยชน์คือ ผู้ถือหุ้น!!! ( อันนี้ไม่เคยยุ่งเกี่ยวกะหุ้นประเภทนี้ แต่ผู้ใหญ่หลายท่าน ให้ความรู้เรื่องนี้ และค่อนข้างให้ความสำคัญเป็นอันดับต้นๆ ด้วยวิธีคิดง่ายๆที่ว่า ถ้ามันเก่งแต่โกง ยังไง้ยังไง เราก็จะเป็นคนที่เสียปนะโยชน์ เหมือนไปเล่นกะงูเห่า!!!)
ดังนั้น จึงอยากจะเขียนแชร์ไว้ ไม่ว่าจะลงทุนอะไร 'ความดีความเลวของผู้บริหาร' นั้นสำคัญ ... จะบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดฯ หรือ บริษัท StartUp ก็ตาม :)
It takes time to see the truth ... แต่เวลาจะพิสูจน์ทุกอย่างแน่
หากรักการจะเป็น 'นักลงทุน' แล้ว ... ก็อย่ามองข้าม Soft Side แบบนี้ค่ะ
May positive return be with u ...
I know u love me XOXO 💋
หงีเองแชร์บทความเรื่องการลงทุนอยู่หลายครั้ง และทุกครั้ง มักเป็นแนว hard side คือ ทฤษฎีบ้าง, เศรษฐศาสตร์บ้าง,เทคนิคอลบ้าง ... แต่ไม่เคยเขียนเกี่ยวกับ 'ความเป็นคนดี ไม่ดีผู้บริหาร' ซึ่งหงีเรียกว่า เป็น soft side เลย
ย้อนกลับไปเมื่อตอนเริ่มลงทุนใหม่ๆ ... มีมุมมองว่า ไม่เป็นไร ตราบใด return ดี ราคาไป I dont care ... ไม่ว่า คุณจะเลวแต่ไหน โกงอย่างไร ไม่สน ขอแต่ฉัยได้ return เป็นที่น่าพอใจ ก็พอแล้ว ....
เวลาผ่านไป ... มุมมองนี้ ได้พิสูจน์แล้วว่า 'อันตราย'
ย้อนกลับไปเมื่อปี 2001 ... Case Enron ... That's one obvious prove ว่า วิธีคิดแบบไม่สนใจความดีความเลว ผู้บริหารนั้น ... ผิด!!!!! เพราะเคสนั้น สร้างความเสียหายแก่ผู้ถือหุ้นมหาศาล หลายคนหมดเนื้อหมดตัว ( สำหรับผู้ที่สนใจ สามารถหารายละเอียดอ่านได้ใน google นะคะ^^)
หันกลับมาดูของใกล้ตัว ... ตลาดหุ้นในบ้านเรา ... มีหุ้นหลายตัวนะคะ ที่พอเอ่ยชื่อแล้ว นักลงทุนผู้มีประสบการณ์และความรู้ ร้องยี้!!!! ไม่อยากยุ่งเกี่ยว เพราะ CG ห่วย ผู้บริหารขี้โกง ... แล้วท่านเล่าอภินิหารของมันในอดีตว่า เพิ่มทุนซ้ำซาก แตกพาร์ สร้างสตอรี่ ทำพีพี จิปาถะ ที่ท้ายที่สุด คนเสียประโยชน์คือ ผู้ถือหุ้น!!! ( อันนี้ไม่เคยยุ่งเกี่ยวกะหุ้นประเภทนี้ แต่ผู้ใหญ่หลายท่าน ให้ความรู้เรื่องนี้ และค่อนข้างให้ความสำคัญเป็นอันดับต้นๆ ด้วยวิธีคิดง่ายๆที่ว่า ถ้ามันเก่งแต่โกง ยังไง้ยังไง เราก็จะเป็นคนที่เสียปนะโยชน์ เหมือนไปเล่นกะงูเห่า!!!)
ดังนั้น จึงอยากจะเขียนแชร์ไว้ ไม่ว่าจะลงทุนอะไร 'ความดีความเลวของผู้บริหาร' นั้นสำคัญ ... จะบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดฯ หรือ บริษัท StartUp ก็ตาม :)
It takes time to see the truth ... แต่เวลาจะพิสูจน์ทุกอย่างแน่
หากรักการจะเป็น 'นักลงทุน' แล้ว ... ก็อย่ามองข้าม Soft Side แบบนี้ค่ะ
May positive return be with u ...
I know u love me XOXO 💋
Tuesday, November 3, 2015
Fund Flow : 2017 ระวัง!!! ล้างพอร์ต
เอาล่ะ ... นี่ก็เนื่องจากอารมณ์ดี๊ดี จิตใจปลอดโปร่งแจ่มใส เพราะช่วงนี้ มีซีรี่ย์ และ ละครที่ชอบออกมานะคะ^^ อิอิ
วันนี้ หงีก็จะแชร์เรื่อง Fund Flow ซึ่งได้เรียนมากับ ดร.วิศิษฐ์ องค์พิพัฒนกุล กรรมการผู้จัดการ บล.ทรีนิตี้ จำกัด (มหาชน) ค่ะ
อาจารย์วิศิษฐ์ เนี่ย ... ท่านก็ถือเป็น กูรู ท่านหนึ่งในเรื่อง Fund Flow นะคะ ... และที่สำคัญ จาก Observation ของหงี ... หุ้นตัวที่แกเชียร์เนี่ย ... ปรู๊ดปร๊าดไปลิ่งตลอดตลอดดดด
อันที่จริง เรื่อง Fund Flow เนี่ย ... ไม่ง่ายนะคะ ... การจะเข้าใจให้ถ่องแท้ อาศัยความรู้พื้นฐานด้านเศรษฐศาสตร์ การเงิน รวมถึง การติดตามข่าวสารประเทศสำคัญๆ คือ อเมริกา ยุโรป จีน ญี่ปุ่น เพื่อให้เห็นภาพที่ชัดเจนขึ้นค่ะ
สำหรับสิ่งที่หงีได้เรียนมานั้น ... จะขอสรุป และแชร์ในหัวข้อง่ายๆ ตามกำลังสติปัญญาของหงีที่จะเข้าใจไว้ตามโพสตนี้นะคะ^^
1. วงจร Fund Flow นั้น มีต้นน้ำ จาก "นโยบายของธนาคารโลก + รัฐบาลท้องถิ่น" ซึ่งจะเป็นที่มาของ "เม็ดเงิน" มหาศาล ซึ่งส่งผลกระทบต่อ "การเติบโตทางเศรษฐกิจ"อันส่งผลต่อเนื่องมาถึง "กำไร" ของบริษัทจดทะเบียน และแน่นอน "ราคาหุ้น" ค่ะ
2. Fund Flow นั้น สำคัญต่อ ราคาหุ้น มากนะคะ ... เพราะ ... ถ้าไม่มี "เม็ดเงิน" ไหลเข้าตลาดแล้ว ... ราคา มันก็ไปได้ยากค่ะ
3. อันที่จะอ่านหุ้นนั้น ตามที่บอก ต้องดู Fund Flow ด้วย .. ดังนั้น การอ่าน "อัตราแลกเปลี่ยน" และ "อัตราดอกเบี้ย" เป็นอีก 2 สิ่ง ที่นักลงทุนจำเป็นจะต้องดู เพื่อใช้ประกอบการพิจารณา
4. ยังไม่หมดแค่นั้นนะ ... นอกจากนี้ ... คุณต้องดู "ตลาดอนุพันธ์" เป็นด้วยนะแจ๊ะ ... เพราะล้วนเกี่ยวข้องกับ "ทิศทางการไหลของเม็ดเงิน" ทั้งสิ้น
5. ถ้าคุณไม่เก่งอย่างนั้น ... ไม่เป็นไร .... ไป Follow page ของ ดร.วิศิษฐ์ นะ ... แกโพสต์ Update Fund Flow อยู่เป็นประจำ (แฮ่!!!)
6. เมื่อมาเจาะที่ "อัตราดอกเบี้ย" นะ ... ตามข้อมูลที่แกให้มา ... Trinity Research ได้มีมุมมองว่า Interest Rate ของทั้ง อเมริกา, ยุโรป และ ญี่ปุ่น .. นั้นกำลังจะถีบตัวขึ้นนะคะ ... ซึ่งแน่นอน ถ้า Interest Rate เพิ่มขึ้น ตามทฤษฎีทางการเงิน นั่นหมายความว่า อัตราคิดลด เพื่อคำนวณหามูลค่าปัจจุบัน จะเพิ่มขึ้น นำมาซึ่ง "มูลค่าปัจจุบันของหุ้นที่ลดลง" ... แปลง่ายๆ ... มันไม่ดีต่อ "หุ้น" นะยูววววววว
7. ทีนี้ ... ถ้ามาดู "อัตราแลกเปลี่ยน" .. ปัจจุบันนั้น ถ้าเทียบ USD / THB แล้ว .. ค่าเงินบาทนั้น "อ่อน" เมื่อเทียบกับ ดอลล่าร์สหรัฐ ... ดร.วิศิษฐ์ แกได้ให้มุมมองไว้ว่า ... การที่เงินจะไหลออก หรือ ไม่ไหลออกนั้น ... ต้องดู "อัตราดอกเบี้ย" ประกอบด้วย .. นั่นคือ ถ้า US ขึ้นดอกเบี้ย + ไม่ซื้อ Bond ต่อ ( คือ ไม่ปล่อยเงินเข้ามาในระบบ) + บาท อ่อน ต่อเนื่อง + อัตราดอกเบี้ยของไทย ไม่ขึ้น .... "เงินจะไหลออก" ... อันนี้ไม่ได้จดเหตุผลไว้ แต่ถ้าให้เล่า จากความเห็นส่วนตัว ก็อิงทฤษฎีการเงินทั่วๆไปนะคะ คือ ถ้าค่าเงินอ่อนแล้ว อัตราดอกเบี้ยไม่ขึ้น แน่นอนว่า ทิ้งเงินไว้ในเมืองไทย อัตราผลตอบแทน ไม่ดีเท่า เอาเงินไปทิ้งใน US แน่ค่ะ
8. แม้จะมีการคาดการณ์ และ คาดหวังกันไว้มากว่า ถ้า "ราคาน้ำมันขึ้น" แล้ว หุ้นบ้านเราต้องขึ้นแน่นอน เพราะตัวดันดัชนี คือ PTT ซึ่ ตรงนี้บอกเลยว่า ดร.วิศิษฐ์ แกได้ให้มุมมองนึงที่น่าสนใจมาก คือ ถ้าหากราคาน้ำมันขึ้นแล้ว จะส่งผลให้ เงินเฟ้อ และแน่นอน เมื่อเงินเฟ้อแล้ว สิ่งที่จะตามมา คือ "ราคาหุ้นร่วง" (เหตุผล ดูตามข้อ 6 ค่ะ) ... ซึ่งแกพูดเลยนะคะ ถ้าน้ำมัน ขึ้นไปที่ 50 - 60 USD ให้ ล้างปอด กอดเงินไว้ แล้วค่อยรอเข้ามาช้อนซื้อใหม่ค่ะ ... ออกไปนั่งกระดิกเท้าดูความ ชิบปี้ชิบ กันก่อนเลย
เอาล่ะค่ะ หงีว่า ค ข้อ อ่านให้เข้าใจก็ งง ละ ... นี่พยายามย่อยแล้วนะคะ ขอบอก ... แนะนำว่า ถ้าอ่านทั้งข้อไม่เข้าใจ ก็เอาแค่ Key Word ที่หงี ขีดเส้นใต้ ไว้ให้ ก็พอค่ะ
อ่อ... ขออนุญาตทวนทิ้งท้าย 2015 - 2016 ยัง "ลงทุนในตลาดหุ้นได้" โดยให้ระมัดระวัง เฝ้าติดตามเรื่อง "ราคาน้ำมัน" เป็นหลัก แล้ว 2017 มีแนวโน้มต้องล้างปอด โดยให้เฝ้าจับตาดู "นโยบาย Fed" ว่าจะซื้อ Bond ต่อหรือไม่
อย่างไรก็ตาม #เทคนิคอล นั้นสำคัญ ... จงขยันติดตามกราฟ
สวัสดีค่ะ^^
วันนี้ หงีก็จะแชร์เรื่อง Fund Flow ซึ่งได้เรียนมากับ ดร.วิศิษฐ์ องค์พิพัฒนกุล กรรมการผู้จัดการ บล.ทรีนิตี้ จำกัด (มหาชน) ค่ะ
อาจารย์วิศิษฐ์ เนี่ย ... ท่านก็ถือเป็น กูรู ท่านหนึ่งในเรื่อง Fund Flow นะคะ ... และที่สำคัญ จาก Observation ของหงี ... หุ้นตัวที่แกเชียร์เนี่ย ... ปรู๊ดปร๊าดไปลิ่งตลอดตลอดดดด
อันที่จริง เรื่อง Fund Flow เนี่ย ... ไม่ง่ายนะคะ ... การจะเข้าใจให้ถ่องแท้ อาศัยความรู้พื้นฐานด้านเศรษฐศาสตร์ การเงิน รวมถึง การติดตามข่าวสารประเทศสำคัญๆ คือ อเมริกา ยุโรป จีน ญี่ปุ่น เพื่อให้เห็นภาพที่ชัดเจนขึ้นค่ะ
สำหรับสิ่งที่หงีได้เรียนมานั้น ... จะขอสรุป และแชร์ในหัวข้อง่ายๆ ตามกำลังสติปัญญาของหงีที่จะเข้าใจไว้ตามโพสตนี้นะคะ^^
1. วงจร Fund Flow นั้น มีต้นน้ำ จาก "นโยบายของธนาคารโลก + รัฐบาลท้องถิ่น" ซึ่งจะเป็นที่มาของ "เม็ดเงิน" มหาศาล ซึ่งส่งผลกระทบต่อ "การเติบโตทางเศรษฐกิจ"อันส่งผลต่อเนื่องมาถึง "กำไร" ของบริษัทจดทะเบียน และแน่นอน "ราคาหุ้น" ค่ะ
2. Fund Flow นั้น สำคัญต่อ ราคาหุ้น มากนะคะ ... เพราะ ... ถ้าไม่มี "เม็ดเงิน" ไหลเข้าตลาดแล้ว ... ราคา มันก็ไปได้ยากค่ะ
3. อันที่จะอ่านหุ้นนั้น ตามที่บอก ต้องดู Fund Flow ด้วย .. ดังนั้น การอ่าน "อัตราแลกเปลี่ยน" และ "อัตราดอกเบี้ย" เป็นอีก 2 สิ่ง ที่นักลงทุนจำเป็นจะต้องดู เพื่อใช้ประกอบการพิจารณา
4. ยังไม่หมดแค่นั้นนะ ... นอกจากนี้ ... คุณต้องดู "ตลาดอนุพันธ์" เป็นด้วยนะแจ๊ะ ... เพราะล้วนเกี่ยวข้องกับ "ทิศทางการไหลของเม็ดเงิน" ทั้งสิ้น
5. ถ้าคุณไม่เก่งอย่างนั้น ... ไม่เป็นไร .... ไป Follow page ของ ดร.วิศิษฐ์ นะ ... แกโพสต์ Update Fund Flow อยู่เป็นประจำ (แฮ่!!!)
6. เมื่อมาเจาะที่ "อัตราดอกเบี้ย" นะ ... ตามข้อมูลที่แกให้มา ... Trinity Research ได้มีมุมมองว่า Interest Rate ของทั้ง อเมริกา, ยุโรป และ ญี่ปุ่น .. นั้นกำลังจะถีบตัวขึ้นนะคะ ... ซึ่งแน่นอน ถ้า Interest Rate เพิ่มขึ้น ตามทฤษฎีทางการเงิน นั่นหมายความว่า อัตราคิดลด เพื่อคำนวณหามูลค่าปัจจุบัน จะเพิ่มขึ้น นำมาซึ่ง "มูลค่าปัจจุบันของหุ้นที่ลดลง" ... แปลง่ายๆ ... มันไม่ดีต่อ "หุ้น" นะยูววววววว
7. ทีนี้ ... ถ้ามาดู "อัตราแลกเปลี่ยน" .. ปัจจุบันนั้น ถ้าเทียบ USD / THB แล้ว .. ค่าเงินบาทนั้น "อ่อน" เมื่อเทียบกับ ดอลล่าร์สหรัฐ ... ดร.วิศิษฐ์ แกได้ให้มุมมองไว้ว่า ... การที่เงินจะไหลออก หรือ ไม่ไหลออกนั้น ... ต้องดู "อัตราดอกเบี้ย" ประกอบด้วย .. นั่นคือ ถ้า US ขึ้นดอกเบี้ย + ไม่ซื้อ Bond ต่อ ( คือ ไม่ปล่อยเงินเข้ามาในระบบ) + บาท อ่อน ต่อเนื่อง + อัตราดอกเบี้ยของไทย ไม่ขึ้น .... "เงินจะไหลออก" ... อันนี้ไม่ได้จดเหตุผลไว้ แต่ถ้าให้เล่า จากความเห็นส่วนตัว ก็อิงทฤษฎีการเงินทั่วๆไปนะคะ คือ ถ้าค่าเงินอ่อนแล้ว อัตราดอกเบี้ยไม่ขึ้น แน่นอนว่า ทิ้งเงินไว้ในเมืองไทย อัตราผลตอบแทน ไม่ดีเท่า เอาเงินไปทิ้งใน US แน่ค่ะ
8. แม้จะมีการคาดการณ์ และ คาดหวังกันไว้มากว่า ถ้า "ราคาน้ำมันขึ้น" แล้ว หุ้นบ้านเราต้องขึ้นแน่นอน เพราะตัวดันดัชนี คือ PTT ซึ่ ตรงนี้บอกเลยว่า ดร.วิศิษฐ์ แกได้ให้มุมมองนึงที่น่าสนใจมาก คือ ถ้าหากราคาน้ำมันขึ้นแล้ว จะส่งผลให้ เงินเฟ้อ และแน่นอน เมื่อเงินเฟ้อแล้ว สิ่งที่จะตามมา คือ "ราคาหุ้นร่วง" (เหตุผล ดูตามข้อ 6 ค่ะ) ... ซึ่งแกพูดเลยนะคะ ถ้าน้ำมัน ขึ้นไปที่ 50 - 60 USD ให้ ล้างปอด กอดเงินไว้ แล้วค่อยรอเข้ามาช้อนซื้อใหม่ค่ะ ... ออกไปนั่งกระดิกเท้าดูความ ชิบปี้ชิบ กันก่อนเลย
เอาล่ะค่ะ หงีว่า ค ข้อ อ่านให้เข้าใจก็ งง ละ ... นี่พยายามย่อยแล้วนะคะ ขอบอก ... แนะนำว่า ถ้าอ่านทั้งข้อไม่เข้าใจ ก็เอาแค่ Key Word ที่หงี ขีดเส้นใต้ ไว้ให้ ก็พอค่ะ
อ่อ... ขออนุญาตทวนทิ้งท้าย 2015 - 2016 ยัง "ลงทุนในตลาดหุ้นได้" โดยให้ระมัดระวัง เฝ้าติดตามเรื่อง "ราคาน้ำมัน" เป็นหลัก แล้ว 2017 มีแนวโน้มต้องล้างปอด โดยให้เฝ้าจับตาดู "นโยบาย Fed" ว่าจะซื้อ Bond ต่อหรือไม่
อย่างไรก็ตาม #เทคนิคอล นั้นสำคัญ ... จงขยันติดตามกราฟ
สวัสดีค่ะ^^
Subscribe to:
Posts (Atom)