Monday, May 1, 2017

มาวางแผนการเงินกันเถอะ 6 : เมื่อป้าอยากลงทุนในทองคำ

สวัสดีค่าาาาาา ท่านผู้อ่านที่รักทุกคนของป้าาาาาา ...  ไม่ได้คุยกันนานเลย คิถุ๊งงงคิถุงงง ><

วันนี้เป็น "วันแรงงาน" ล่ะตะเอง ... จริงๆไม่ใช่วันหยุดหรอกนะ แล้วช่วงนี้ป้าก็งานยุ่งมว๊าาาาาก แต่ก็รู้สึกอยากจะเขียนเรื่องนี้ขึ้นมาดื้อๆ ...สงสัยจะคิดถึงคนอ่านมาก  555+  เอาน่ะ... อย่าถือสาหาความป้าเลย ช่วงนี้สติไม่ค่อยดี อากาศมันร้อน

เอาล่ะ ...เรื่องการลงทุนในทองคำเนี่ยอ่ะนะ บอกเลยว่า ไม่ใช่กูรู  "และไม่เคยลงทุนจริงเลยสักครั้ง" !!!! ถามว่า ทำไม?  แหม่ ...ทองมัน บาทสองบาทไหมล่ะคุณ? ... ไอ้คนเงินเยอะอย่างป้า ( เบะปาก มองบน) เลยต้องคี้ดดดดดคิดแล้วก็คิดอีก

แต่ !!! ก็มีแรงบันดาลใจมาจากว่า ช่วงนี้น่ะ ข่าวสารโลก ก็เอะอะๆ เดี๋ยวประเทศนี้จะรบกัน ประเทศนั้นบอมบ์กัน  ประเทศนู้นเกลียดกัน อะไรต่อมิอะไร ซึ่งล้วนเป็นข่าวส่อแวว "ก่อสงคราม" ทั้งสิ้น

ซึ่งป้าเชื่อว่า คุณผู้อ่านทุกท่านก็คงจะทราบว่า  ในยามศึกสงครามนั้น  สินทรัพย์ (asset) ใด จะมีค่าไปกว่า "ทอง" ก็เห็นจะมีไม่  เหมือนสำนวนไทยที่ว่า "มีเงินเค้านับเป็นน้อง มีทองเค้านับเป็นพี่"

ทำไมยามสงคราม "ทอง" ถึงมีค่ามากงั้นหรอ? ... ตามที่ป้าศึกษาหาความรู้ และทำการพินิจพิจารณามาเนี่ยนะ  มันก็หลักง่ายๆล่ะ  พอยามสงคราม "เงิน นั้นคือกระดาษ" แต่ "ทอง  ไม่ว่าจะที่ไหน มันก็คือ ทอง" ... จะเอา "ทอง" ไปแลกปลาดิบ พี่ยุ่นก็รับ  เพราะพี่ยุ่นก็รู้จักทอง ...จะเอา "ทอง" ไปแลก "แอปเปิ้ล" พี่กันก็รับ  เพราะพี่กันก็รู้จัก "ทอง" ... แต่ถ้าหากเอา "เงินบาท" ไปแลกของพี่ๆเค้าล่ะก็  เกรงว่า ทั้งยุ่นทั้งกัน ก็คงจะเกาหัวแกรกๆ แล้วบอกว่า โอ้โน! เงินบาทของยู  มันก็เศษกระดาษ  และในยามศึกสงครามแบบนี้ ประเทศไหนเค้าค้าขายกันเป็นล่ำเป็นสันงั้นรึ?  แล้วจะ "กำหนดอันตราแลกเปลี่ยน" ค่าเงินกันอย่างไร?

นี่ล่ะ... เป็นที่มาของ "ความสนใจในการลงทุนในทอง" ของป้า ...

จากการศึกษาหาความรู้ ก็พบว่า ... อย่างแรก เราต้องเข้าใจก่อนว่า "ราคาทองคำ" นั้น
1. ขึ้น - ลง ตาม อุปสงค์ และ อุปทาน ตามหลักเศรษฐศาสตร์ทั่วไปนี่ล่ะ
2. ราคาทองคำในตลาดโลก เค้าซื้อขายกันเป็น ดอลล่าร์สหรัฐ (USD)

ดังนั้น ... ราคาทองคำในประเทศไทย จะขึ้นหรือลง นั้น ...ก็จะมีสาเหตุมาจากทั้ง 2 ปัจจัยข้างต้น

โดยเอาหัวข้อแรกก่อน ... อุปสงค์ และ อุปทาน
อุปสงค์ของทองคำ  ...จะเข้าใจได้ ก็ต้องดูว่า  มีใครเค้าซื้อทองกันมั่ง

1. คนทั่วไป ( ประมาณ 75% ของอุปสงค์ทั้งหมด)  : ซื้อในรูปแบบของอัญมณี  เอามาใส่เอง เอาไปให้คนอื่นเป็นของขวัญ หรือให้กันเป็นสิริมงคล เช่น เทศกาลตรุษจีน, รับขวัญเด็กเกิดใหม่ เป็นต้น

2. นักลงทุน ( ประมาณ 14% ของอุปสงค์ทั้งหมด)  :  ทองคำ  เป็นสินทรัพย์ที่ใครๆก็เรียกว่าเป็น การลงทุนที่ปลอดภัย ( Safe Haven ) เพราะ "มูลค่าที่แท้จริง" ไม่ได้ขึ้นอยู่กับภาวะเศรษฐกิจ  เพราะไม่ว่าภาวะเศรษฐกิจจะดีหรือร้าย  "แร่ทอง ก็คือ แร่ทอง" ทองแท้ย่อมไม่แพ้ไฟ แฮ่ !!!
- ไม่เหมือนกับ "หุ้น" ซึ่ง "มูลค่า" ลดลงได้หากพื้นฐานกิจการเปลี่ยนไปในทางไม่ดี
- "ตราสารหนี้" ซึ่ง "มูลค่าที่แท้จริง" ก็ผันผวนตามเศรษฐกิจเช่นกัน เพราะหากเศรษฐกิจไม่ดี ความเสี่ยงของตราสารหนี้ที่เพิ่มขึ้นทั้งในแง่ของปัจจัยภายนอและปัจจัยภายในตัวบริษัทเอง ก็จะทำให้ตราสารหนี้มี "มูลค่าลดลง)

3. อุตสาหกรรมอิเลคโทรนิกส์และเครื่องแพทย์ ( ประมาณ 11% ของอุปสงค์ทั้งหมด) :  ชิ้นส่วนบางชิ้นในอุปกรณ์อิเลคโทรนิคและเครื่องมือแพทย์นั้นทำมาจากทองคำ  ด้วยเหตุผลใด... ป้าขอละไว้เพื่อให้ศึกษาเอง เกรงจะยาวจนเกินไปและให้ข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง เพราะไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญด้าน "แร่" โดยตรง

แล้วอุปทานล่ะป้า?
อุปทาน ...ก็มาดูค่ะว่า  ใครกัน?ที่จะสามารถให้ Supply ทองคำกับตลาดได้  ก็ขออนุญาติแบ่งเป็น 3 พวกเช่นกัน

1. เหมืองทอง (ประมาณ 62% ของอุปทานทั้งหมด)  :  ตามนั้น .. อาชีพเค้า ...ก็ต้องขุดต้องร่อนต้องทำออกมาขายโนะ  แต่แน่นอน  แร่ทองมันมีปริมาณจำกัด และอาศัยเวลานานกว่าจะเป็นทองคำได้

2. คนทั่วไป ( ประมาณ 16% ของอุปทานทั้งหมด)  :  เหตุผลที่ขายก็มีหลากหลาย  ฝืดเคือง ตึ๊ง เห็นราคาดี อัลไรก็ว่ากันไปนาคระ

3. นักลงทุน / ธนาคารกลาง (ประมาณ 22% ; ป้าคำนวณเองนะ แหล่งที่มาข้อมูลเค้าให้ตัวเลขมาแค่ 2 อันบน .. ดังนั้น ที่เหลือก็ของกลุ่มนี้เค้าล่ะ ) :  ใช่ค่ะ ... ธนาคารกลาง เองก็นับเป็น "นักลงทุน" ประเภทหนึ่ง เพราะ ธนาคารกลางของประเทศต่างๆ จะเก็บสำรอง "ทองคำ" เอาไว้เป็นส่วนหนึ่งของ "ทุนสำรองระหว่างประเทศ" เพื่อรักษาเสถียรภาพทางการเงินของประเทศและเป็นการกระจายความเสี่ยง

อย่างไรก็ตาม... ถึงแม้ อุปสงค์ และ อุปทาน จะมาจากหลากหลายกลุ่ม .. แต่สาเหตุใหญ่ของราคาทองคำที่เปลี่ยนแปลงไปก็มาจาก "ภาวะเศรษฐกิจ" เป็นหลักค่ะ

อ้าว! อิป้า! ไหนบอก  ทอง คือ ทอง ...ไม่หวั่นไหวต่อ ภาวะเศรษฐกิจ ไง .... ใช่ค่ะคุณขา !!!  ที่ไม่หวั่นไหวน่ะ ป้าหมายถึง "มูลค่าที่แท้จริง" ... แต่"ราคา" มันก็อีกเรื่องนะคะ !!!!

ลองนึกภาพตามนะคะ ...  สมมติเรามีทองคำอยู่ 1 บาท ...ทองคำหนัก 1 บาท ก็คือ ทองคำหนัก 1 บาท ถูกไหม? ... ไม่ว่าจะ "ร้านทอง" หรือ "โรงรับจำนำ" ชั่งน้ำหนักทองชิ้นนี้ ก็คือ ทองคำ 1 บาท ...ใจน่ะ อยากเก็บไว้เป็นขวัญถุง เป็นสิริมลงคล .. แต่ !!! นี่มันจะเปิดเทอมแล้ว ค่าเทอมลูกไม่มี !!! ( เปรียบเทียบได้กับภาวะเศรษฐกิจที่ไม่ดี)  ทำไงคะ? ...ตึง ตึ่ง ตึ้ง ตึ๊ง ตึ๋ง ใช่ไหมคือทางออก? ... ทองที่ร้านทอง ยังคงขายกันราคาบาทละ 20,000 นั่นล่ะ แต่ตัดภาพกลับมาที่เรา เอาไปตึ๊งได้ราคาไม่ถึง 20,000 แน่ ... นั่นแหละ ... มูลค่าของทอง  ยังคงเดิม ...ทองคำหนัก 1 บาทคือ ทองคำหนัก 1 บาท... แต่ "ราคา" มันต่างกันแล้วล่ะระหว่างทองที่ร้านทอง และ ทองที่โรงรับจำนำ :)

ดังนั้น ... โดยพื้นฐานแล้ว ... เข้าใจตรงกันนะคะว่า "ราคาทองคำ" นั้นขึ้นกับ "ภาวะเศรษฐกิจเป็นหลัก" ... เพราะในช่วงที่เศรษฐกิจดี  เงินทองมันสะพัด ...คนทั่วไป (ซึ่งเป็นที่มาของ อุปสงค์ ส่วนใหญ่ ) ก็มีเงิน สามารถซื้อหา "ทองคำ" ได้ตามความอยากทั้งซื้อมาใส่เอง หรือซื้อมาเป็นของขวัญ ... อ่ะปีนี้เศรษฐกิจดี เซ็งลี้ฮ๋อ รับขวัญหลานก็สร้อยข้อเท้าเส้นใหญ่หน่อย ( น้ำหนักทองเพิ่มขึ้นหรอ? เปล่า? ทองโป่ง แฮ่!!!)

เมื่อความต้องการมันเพิ่มขึ้น ในขณะที่ "อุปทาน" เพิ่มไม่เร็วเท่า ... ก็ทำให้ "ราคาทองคำ" สูงขึ้น ... ตามหลักเศรษฐศาสตร์ธรรมดานะคะ

แต่อย่างไรก็ตาม ...เมื่อเศรษฐกิจไม่ดี ... นั่นงะ ตามตัวอย่างข้างบนเล้ย ...ก็จะมีคนเอาทองออกมาขาย...ถ้าขายมาก .. "อุปทาน" มีมากกว่า "ความต้องการในตลาด" แน่นอน ..."ราคาทองคำ" มันก็ลดลง

ทีนี้ ... ถ้ามองในแง่การลงทุนแล้ว ... เนื่องจาก "ทองคำ" ไม่ได้ให้ผลตอบแทนในรูปของ "เงินปันผล" หรือ "ดอกเบี้ย" และ ราคาก็ผันผวนน้อย ..ดังนั้น ในยามเศรษฐกิจดี  นักลงทุน จะลงทุนในทองคำเพื่อเป็น "การกระจายความเสี่ยง" เท่านั้น ... ทำให้ความต้องการในทองคำ จะมี "มาก"ก็ต่อเมื่อในยามที่"เศรษฐกิจไม่ดี" หุ้นไม่น่าสนใจ  ตราสารหนี้มีความเสี่ยงสูง หรือ "ภาวะสงคราม"

อย่างไรก็ตาม ...ที่ป้าเล่าให้ฟังด้านบนนั้น เป็นพื้นฐาน / Base Case เพราะในปัจจุบัน "ราคาทองคำ" มี"ความผันผวนมากขึ้น" เนื่องจากมีนักลงทุนหลายกลุ่มนั้นลงทุนแบบ "เก็งกำไร" ทำให้ราคาทองคำ ไม่ได้ถูกกำหนดโดยอุปสงค์อุปทานที่เกิดจากภาวะเศรษฐกิจเป็นหลักอีกต่อไป

นอกจากนี้ ... ยังจำได้ไหมคะ อย่างที่ป้าเล่าให้ฟังในข้างต้น ... เพราะ "ราคาทองคำในตลาดโลก" นั้นซื้อขายกันเป็น  USD จึงทำให้ "ราคาทองคำในประเทศไทย" นั้น ไม่ได้มีปัจจัยมาจากอุปสงค์และอุปทานอย่างเดียว แต่ยังมีปัจจัยเรื่องของ "ค่าเงิน" เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย

หลักเศรษฐศาสตร์อีกเช่นเคย ... ถ้าค่าเงินบาทอ่อนลงเมื่อเทียบกับดอลล่าร์ ก็ทำให้ 1 ดอลล่าร์ มีมูลค่าเป็น บาทที่มากขึ้น ..ดังนั้น  ถ้าหาก "ราคาทองคำในตลาดโลก ไม่เปลี่ยน"  แต่ "ค่าเงินบาทอ่อนเมื่อเทียบกับดอลล่าร์" ==> ราคาทองทำในประเทศไทยจะปรับตัวสูงขึ้น

ในปัจจัยเรื่องค่าเงินนี้ ก็มีตัวอย่างน่าสนใจกล่าวไว้ในหนังสือ "หลักสูตรการวางแผนการเงิน ชุดวิชาที่ 2 ของ TSI" ก็คือว่า ในช่วงวิกฤติต้มยำกุ้งที่เงินบาทลอยตัวนั้น  ขณะนั้น "ราคาทองคำในตลาดโลก" ไม่ได้เปลี่ยนแปลงมากนัก  แต่ "ค่าเงินบาทเมื่อเทียบกับดอลล่าร์สหรัฐแล้วอ่อนค่าลงมาก"  ทำให้ผู้ที่ลงทุนในทองคำในเวลานั้นได้กำไรอย่างเป็นกอบเป็นกำ

ถ้าหากคุณอ่านมาถึงตรงนี้ ... คุณก็คงรู้แล้วว่า ถ้าหากคุณจะลงทุนใน "ทองคำ"  นอกจาก "ความรู้ด้านเศรษฐกิจโลก" แล้ว คุณก็ยังต้องมีความรู้เรื่อง "อัตราแลกเปลี่ยน" อีกด้วยนะคะ

อย่างไรก็ตาม... ปัจจัยที่มีผลกระทบด้านราคานั้น เป็นปัจจัยที่คงอยู่เพียง "ระยะสั้น" เพราะฉะน้น หากลงทุน "ระยะยาว" ป้าคิดว่า  "ทองคำ" ยังคงเป็นอะไรที่น่าสนใจอยู่ดี  เพราะนอกจากจะช่วย "กระจายความเสี่ยง" แล้ว  ก็ยังเหมือนกับ "การลงทุนในต่างประเทศทางอ้อม" อีกด้วย  เพราะราคาทองคำในตลาดโลกนั้นผูกกับ USD ...แต่มันก็แลกด้วย "ค่าเสียโอกาส"ในการได้ผลตอบแทนที่สูงกว่าจากการลงทุนประเภทอื่นค่ะ

เอาล่ะ ... เมื่อทำความเข้าใจกับเรื่องของการลงทุนในทองคำแบบคร่าวๆแล้ว .. ไหนมาลองดูซิว่า  ถ้าหากป้า "ซื้อ" ทองคำตั้งแต่วันที่เริ่มมีข่าวสงครามส่อเค้า แล้วถือมาจนถึงวันนี้จะเป็นอย่างไร

ป้าไม่ได้ซื้อจริงหรอกค่ะ ...แต่อาศัย ติดตามราคาทองจาก website : Gold Trader Association ก็จะสามารถทำให้เห็นภาพคร่าวๆได้ว่า  ถ้าเอาเงินลงไปจริงๆจะเป็นอย่างไร :)




วันแรกที่ป้ารู้สึกอยากจะซื้อ คือ วันที่ 12 เมษายน ซึ่งเป็นวันทำการวันสุดท้าย ก่อนเราจะปิดสงกรานต์กันยาวถึงวันที่ 18 ...  ถ้าไล่ดู ก็จะเห็นได้ว่า  ราคาทอง ดีดตัวสูงขึ้นในวันที่ 18 ... ถ้าดูที่ "ทองคำแท่ง" ขา "ขายออก" จะเห็น ราคาเพิ่มสูงขึ้นจาก 20,800 ในวันที่ 12 เป็น 20,950 ในวันที่ 18
น่าสนใจมาก  เพราะว่าในช่วงดังกล่าว มีข่าวที่ทั่วโลกต่างให้ความสนใจคือ สหรัฐฯ บอมบ์ซีเรีย และเกาหลีเหนือซ้อมรบ ออกมาเป็นระลอกๆ

อย่างไรก็ตาม .. ราคาทองคำก็ได้ลดลงในวันที่ 20 มาอยู่ที่ 20,850 บาท และในวันนี้ก็มาอยู่ที่ 20,750 บาท

ซึ่งถ้าเราพิจารณาในเรื่อง ความผันผวนของราคาทองคำเมื่อเทียบกับหุ้นแล้ว ... สำหรับป้าคิดว่า มันผันผวนน้อยกว่ามาก  เพราะหุ้นสามารถขึ้นลงวันนึงได้มากถึงหลายสิบเปอร์เซ็นต์ได้ แต่ทองคำแกว่งไปมา ถ้าดูในกรอบเวลาครึ่งเดือนนี้ ( 12/04 - 01/05) ก็ไม่ถึง 1% ด้วยซ้ำ

ดังนั้น สรุปประสบการณ์ ... ถ้าหากป้าเอาเงินไปซื้อทองจริงๆในวันที่ 12 แล้วถือมาจนวันนี้ ... จะทำให้ป้า "ขาดทุน" จำนวน 50 บาท ... ซึ่งมันวัดอะไรไม่ได้หรอก  เพราะ Holding Period ( ระยะเวลาการถือครอง) มันสั้นเกินไป

แต่ถ้าหากลองพิจารณาดูกราฟด้านล่างของตารางราคา ... จะพบว่า ถ้าย้อนหลังไป 1 ปี .. ราคาทองคำเคยขึ้นไปสูงถึง 22,900 บาท

ซึ่งก็ขอบอกตรงนี้เลยว่า...ที่เอามาแปะให้ดูนี่มันก็ยังบอกอะไรไม่ได้หรอกนะ ...เพราะยังต้องหาความรู้ต่อ และต้องจับตาดูต่อเพื่อเรียนรู้  ก่อนจะ "ลงทุนจริงๆ" เพราะเมื่อเงินมันหลุดจากกระเป๋าคุณไปแล้ว มันก็เป็นเงินของคนอื่นนาจา
ไอ้ครั้นจะหวังถึง "ปันผล" หรือ "ดอกเบี้ย" นั้นก็ไม่มี ==> เสียโอกาสการลงทุน
แล้วถ้าเงินไม่เย็นจริง แล้วดันซวยเกิดราคาทองมันตกลงมา ... ก็ต้องมานั่งลุ้นตุ้มๆต่อมๆ เมือไหร่มันจะขึ้นๆ หรือที่เค้าเรียกกันว่า "ติดดอย" นั่นล่ะ

และสุดท้ายแต่ไม่ท้ายสุด ... ในโลกของการลงทุนไม่ได้มีแต่เรื่องของเหตุและผล  "จิตวิทยา" และ "พฤติกรรมมนุษย์" เป็นสิ่งที่เป็นปัจจัยสำคัญด้วยเช่นกัน :)

วันนี้เอาเรื่อง "การลงทุนในทองคำ" มาแบ่งปันคร่าวๆให้ฟังนาคระ ... หวังว่า มันจะมีประโยชน์บ้าง  หรืออย่างน้อยก็ช่วยทำให้คุณเห็นภาพในเรื่องการลงทุนในทองคำมากขึ้น และสามารถนำไปต่อยอดหาความรู้และประสบการณ์ได้ต่อไปค่ะ^^

ขอบคุณที่อ่านมาถึงตรงนี้นะคะ

God Bless You,
ngee











Tuesday, March 21, 2017

มาวางแผนการเงินกันเถอะ 5 : อย่าตกใจเมื่อคุณเห็นตัวเลขสูงๆ


 
 
 

Sunday, February 12, 2017

มาวางแผนการเงินกันเถอะ 4


สวัสดีค่า ^^ ไม่เจอกันนานเลยน๊า ... ขอโทษทีพอดีช่วงที่ผ่านมายุ่งมวาก >< แถมมีเหตุ Unplan มากมาย  แต่ !!!  อย่าไปสนใจเลย  มาเข้าเรื่องของเราดีกว่า J
วันนี้ ... ป้าจะมาต่อเรื่อง “การวางแผนการเงินส่วนบุคคล” นะคะ ซึ่งตอนนี้ก็เป็นตอนที่ 4 แล้ว ( และคาดว่าน่าจะมีอีกหลายตอนทีเดียวล่ะ  555+  อย่าพึ่งเบื่อกันซะก่อนล่ะ)  ท่อนนี้ก็ยังคงอยู่ในเรื่องของ “การลงทุน”... แน่นอนค่ะ  คนเรา มีเงินเหลือแล้ว ก็ควรนำมา “ลงทุน” ให้ออกดอกออกผล อาจจะเพื่อใช้จ่ายในอนาคต หรือ เพื่อป้องกันการเสื่อมค่าของเงินอันเนื่องมาจากอัตราเงินเฟ้อ @_@ 

คราวที่แล้ว ...ป้าพูดถึงเรื่อง “การลงทุนในหุ้น” ... วันนี้ก็จะมาเล่าเรื่องของ “การลงทุนในกองทุน”  หรือ “กองทุนรวม” ที่เค้าเรียกๆกันนั่นแหละ ... บอกกันตามตรงเลย คือ ป้าเนี่ย ไม่ถนัดกองทุนมากๆ ... แต่จะเล่าให้ฟังแบบง่ายๆ ที่คิดว่า คนอ่าน น่าจะนำไปพิจารณาต่อยอดตัดสินใจได้นะคะ
คำถามเบสิค  กองทุนคืออะไร? ...กองทุน ก็คือ การเอา “ทุน” มา “กองรวม” กัน ... เอออ จริงๆ  มันคือแบบนั้นจริงๆ ...เอาเงินของหลายๆคนมารวมกัน แล้วก็นำไปลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ ...โดย “กองทุนรวม” ก็จะถูกซอยย่อยออกมาเป็น “หน่วย” หรือ “ยูนิต” เพื่อให้นักลงทุน หรือ คนที่มีเงินเหลือๆอย่างเรา ( หึ!!!) ได้เข้าไปซื้อเพื่อ “ลงทุน” ค่ะ

 ซึ่งการลงทุนในกองทุนรวม ก็คือ การเอาเงินไปให้ “มืออาชีพ” หรือ “ผู้จัดการกองทุน” เค้าบริหารแทนเราค่ะ   เช่น   เราไม่ถนัดหุ้น ไม่รู้จะซื้อหุ้นตัวไหน จังหวะไหนดี ไม่เป็นอ่ะ  แต่อยากลงทุนในหุ้น  อยากได้ผลตอบแทนจากการลงทุนสูงๆแบบการลงทุนในหุ้น...เอาเลยค่ะ  คุณมาถูกทางแล้ว ... จัดไปที่ถูกใจซักกองนะคะ  นอกจากนี้  กองทุนรวม ก็เป็นทางเลือกให้นักลงทุน สามารถลงทุนในสินทรัพย์ที่เราไม่สามารถลงทุนเองได้  เช่น พันธบัตรรัฐบาล, หุ้นกู้ไซส์ใหญ่ๆ, โครงสร้างพื้นฐานของต่างประเทศ ฯลฯ  โดยจะเลือกกองไหนก็สามารถหาข้อมูลเพิ่มเติมได้หลายแหล่งค่ะ  เช่น  wealthmagik.com , morningstarthailand.com , หรือจะ google หาก็สามารถทำได้ไม่ผิดอะไรนะคะ ^^

โดยประเด็นที่คุณควรพิจารณาให้ดีก่อนจะตัดสินใจเลือกการลงทุนในกองทุน คือ
1.       คุณได้มีการจัดสรรเงินอย่างดีแล้ว  คือ ได้กันเงินส่วนที่ต้องใช้ในชีวิตประจำวัน และ เผื่อสำรองฉุกเฉินไว้แล้ว
2.       ตอบตัวเองให้แน่ว่า  คุณจะลงทุนในกองทุนเนี่ย  คุณต้องการอะไร  เช่น  ต้องการเงินปันผลเพื่อใช้ในชีวิตประจำวัน ,  ต้องการลงไว้ให้งอกเงยเผื่อใช้ในอนาคต ระยะสั้น ระยะยาว เอาให้แน่
3.       เงินก้อนนี้คุณยอมรับความเสี่ยงได้แค่ไหน?

 การลงทุนในกองทุน  ก็คือ การลงทุนนั่นแหละค่ะ  มีความเสี่ยงเหมือนการลงทุนทั่วไปทุกประการ   เพียงแต่ว่า คุณนำเงินไปให้คนที่คุณคิดว่าเค้าเป็นมืออาชีพลงทุนแทนคุณ  ...ดังนั้น  ถ้าหากตอบตัวเองใน 3 ข้อข้างบนได้แน่แล้ว ชัดเจนแล้ว  ก็สามารถตกลงใจพิจารณาการลงทุนในกองทุนเป็น Step ต่อไปได้ค่ะ

เรื่องที่จะเล่าต่อก็คือ ...กองทุน มันมีหลายประเภท มีทั้งแบบที่ลงทุนในตราสารประเภทเดียว  คือ หนี้ก็หนี้อย่างเดียว,  หุ้นก็หุ้นอย่างเดียว  และมีทั้งแบบ “ผสม” เช่น  หนี้ผสมหุ้น, หุ้นผสมน้ำมัน, น้ำมันผสมทอง ...ก็ว่ากันไป  มีเยอะแยะเชียวคุณขา หาได้ตาม Website ข้างบนนั้นแล

ทีนี้เบสิคที่ต้องเข้าใจ คือ  ตามหลักแล้ว ตราสารหนี้ ถือเป็น สินทรัพย์ทางการเงินที่เสี่ยงน้อยกว่า หุ้น เพราะเมื่อบริษัททำมาหาได้มีกำไร ... ต้องนำมาจ่าย “ดอกเบี้ย” ก่อน   เหลือจากนั้น  ถึงสามารถ “ปันผล” ได้ค่ะ ... และ Worst Case เมื่อเกิดเหตุต้องปิดกิจการล่มสลาย ... เจ้าหนี้  มีสิทธิ์เคลมผลประโยชน์ที่ได้จากการขายสินทรัพย์ ก่อน เจ้าของ
และอีกประการคือ  คุณต้องรู้ว่า ทอง, น้ำมัน, อัตราแลกเปลี่ยน ...สิ่งเหล่านี้เป็นตราสารที่ “เข้าใจยาก” และการเคลื่อนไหวของราคามี “ความซับซ้อน” มาก ... ดังนั้น   ถ้าคุณสนใจพวก กองทอง หรือ กองน้ำมัน  ... ป้าแนะนำว่า  หาข้อมูลให้ดีมากๆก่อนการตัดสินใจลงทุนนะคะ

โดยรายละเอียดของแต่ละกองนั้น  เค้าจะมีเปิดเผยอยู่แล้วค่ะใน “หนังสือชี้ชวนลงทุน” .. คุณจำเป็นต้องเข้าไป “อ่าน”และ “ศึกษาให้ละเอียด” นะคะว่า เค้าเอาเงินของเราไปลงทุนในอะไรบ้าง, เงื่อนไขการเอาเงินไปลงในสินทรัพย์ตัวไหนเป็นยังไงบ้าง, ในระหว่างทางเค้าสามารถตัดสินใจเปลี่ยนแปลงอะไรได้บ้าง ... โดยประเด็นที่คุณควรให้ความสนใจมากๆ คือเรื่องของ “ค่าใช้จ่าย” หรือ “ค่า Fees”  ซึ่งเค้าจะเรียกเก็บจากเราเป็น ค่าบริหารเงินให้  ...สิ่งเหล่านี้ต้องพิจารณาให้ดี
นอกจากนี้ ...ในระหว่างที่คุณลงทุนไปแล้ว ก็อย่าละเลยค่ะ...กรุณาหมั่นติดตาม “ผลการดำเนินงาน” หรือเค้าเรียกว่า “Fund Fact Sheet  ซึ่ง กองทุนที่คุณลงไปนั้นน่ะ  เค้าจะส่งมาให้คุณเป็นประจำทุกๆเดือนอยู่แล้ว  อาจจะทาง “จดหมาย” หรือ e-mail ตามแต่คุณระบุไว้ตอนซื้อหน่วยลงทุน

ทีนี้มาถึงประเด็นใหญ่ ...  “ราคาซื้อ ขาย” ... มูลค่า หรือ ราคาหน่วย ของกองทุนเนี่ยอ่ะค่ะ  เค้าจะเรียกเป็น  NAV” หรือ Net Asset Value … หลักการก็เหมือน “ราคาหุ้น” แหละค่ะ มันก็มีวิ่งขึ้นวิ่งลง ... และเค้าจะคิดคำนวณกันทุกๆสิ้นวัน  โดยเอามูลค่าทรัพย์สินสุทธิ / จำนวนหน่วยลงทุน ‘-_-!   ( งงดิ...เอออ ป้าก็งง)

เอาคำว่า “มูลค่าทรัพย์สิน” ก่อนนะคะ ...ยกตัวอย่างง่ายๆ ...สมมติ  กองที่เราลงเป็น “กองหุ้น” นะ ...มูลค่าทรัพย์สิน ก็คือ “ราคาปิดหุ้น ณ วันนั้น” คูณด้วย “จำนวนหุ้น” ที่กองมีไว้ในครอบครอง  และ มูลค่าทรัพย์สิน “สุทธิ”  คือ  มูลค่าทรัพย์สิน ค่าใช้จ่ายกองทุน นั่นเอง ^^

ต่อมา ... คนลงทุนทุกคน ก็ต้องการ “ผลตอบแทน” โนะ... ผลตอบแทนของ “กองทุน” ก็คล้ายๆกับ หุ้น นั่นแหละค่ะ ... มี 2 แบบหลักๆ คือ ปันผล กับ ส่วนต่างราคาระหว่างตอนซื้อกับตอนขาย ... อันนี้ต้องดูให้ดีนะคะ  เพราะถ้าสมมติ  เราอยากกิน “ปันผล”  เราก็ต้องเลือกกองที่มีการ “จ่ายปันผล”  เพราะหลายๆกองเค้า “ไม่จ่ายปันผล” แต่จะนำผลตอบแทนที่ได้จากการลงทุนใส่กลับมาในกองแล้วเพิ่มพูนมูลค่า ส่งผลเป็น NAV ที่สูงขึ้นแทน (  โปรดฟังอีกครั้งหนึ่ง :  การที่ NAV สูงขึ้น  มันก็จะทำให้ส่วนต่างราคาระหว่างตอนซื้อกับตอนขายมากขึ้น ชดเชย การที่เราไม่ได้ “ปันผล” นั้นไป )

ส่วนตัวป้า ... ลองลงใน “กองทุน” ดูบ้าง ก็พบว่า ไม่ถูกจริต เท่าไหร่ เพราะอ่าน Fund Fact Sheet ไม่เข้าใจค่ะ ...มันคลุมเครือ ... ยกตัวอย่างเช่น  กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานต่างประเทศ ... ป้าลองลงไป ... พยายามหาข้อมูล อ้าวเห้ย ! มันบอก มันลงอิงกับ “กองแม่” ... หา!!!  กองแม่!!! …  โอเค ได้  งั้นกุดูต่อก็ด๊ายยย กองแม่เนี่ยมันกองไหน ... ก็ไปหา  ...พอหาเจอปุ๊บ ...ตาย  ha!!  มันก็ไม่บอกอี๊กกกกกก ว่ามันลงในอะไรบ๊างงงงงง ... เดือดร้อนต้องไปปรึกษากูรู  พี่หมอนัท คลินิกกองทุน (https://www.facebook.com/fundclinic/) ... เฮียคะ กองเนี้ยะ มันลงในไหนบ้าง ...เฮียแกก็แนะนำวิธีดูมา ... แต่ป้าบอกเลยนะ ทุกวันนี้ก็ยังไม่ได้ดูเลย  เพราะมันตามดูยาก... แล้วก็ ขายหน่วยทิ้งไปละด้วย 555+ 

ทั้งนี้ทั้งนั้น ...ข้อดีที่อยากบอกคือ  ถ้าคุณไม่ได้มีความรู้ความเข้าใจในการลงทุนมากนัก ... การซื้อกองทุนรวม  เป็น  Option ที่ดีนะคะ ...  ป้าเชื่อว่า กองที่ให้รายละเอียดชัดเจนว่า ลงทุนไปตรงไหนบ้าง มันก็มีอยู่แหละ  แค่รายละเอียดมันจะมากมากมากมากมากหน่อย  ก็ต้องอ่านมันเข้าไปค่ะ  เพราะนั่นมันเงินของคุณ !!!  ... แต่อย่างไรก็ตาม  ถ้าคุณเลือก สถาบันการเงิน ที่น่าเชื่อถือ และศึกษาข้อมูลให้มาก ...Option นี้  เป็น  Option ที่ค่อนข้างปลอดภัย และให้ผลตอบแทนที่ค่อนข้างดีกว่าเงินฝากค่ะ

ท้ายสุด ... อีกข้อที่ต้องทราบ คือ กองทุนรวม สามารถแบ่งหลักๆได้เป็น 2 แบบ คือ กองทุนปิด และ กองทุนเปิด i_i  ( อะไร ... ปิดๆเปิดๆ อะไรของเมิงฟระ ) คืองิ อย่างที่บอก กองทุน จะซอยขายเป็นหน่วยย่อยๆ โนะ ... ทีนี้ กองทุนปิด ก็คือ ซอยทีเดียว จำนวนเท่าไหนเท่านั้น เช่น ซอยออกมามี 100 หน่วย แล้วออกขาย  หมดแล้วหมดเลย ไม่ออกหน่วยใหม่ๆให้คนที่ซื้อไม่ทัน... นอกจากนี้  มันก็จะไม่รับซื้อคืนหรือรับไถ่ถอนก่อนถึงเวลาครบอายุด้วย ... ส่วนกองทุนเปิด  ก็คือ กองที่มันเปิดขายหน่วยลงทุนใหม่ๆตลอดเวลา  ... แต่ไม่ว่าจะ “กองปิด” หรือ “กองเปิด”  คุณก็สามารถซื้อขายได้ตลอดแหละค่ะ เพราะอย่างเช่นหน่วยลงทุนของกองทุนปิด  มันก็มี  “ตลาดรอง” คือ ตลาดหลักทรัพย์ฯ  ให้คุณได้เอามาซื้อเอามาขายได้   (https://www.one-asset.com/?p=2727) 

สรุปผลตอบแทนจากการลงทุนในกองทุนรวมจากประสบการณ์ของป้า
-           กองทุนรวมตราสารหนี้ระยะสั้นเจ้าหนึ่ง  เป็นเจ้าดัง  ...  0.4% ใน  5 เดือน  ( ฝากประจำมะ? ถ้าจะผลตอบแทนแบบนี้?)
-          กองทุนรวมตราสารหนี้ต่างประเทศเจ้าหนึ่ง .... 1% ใน 4 เดือน  ( ดูดีนะ .. แต่รีบขายออกก่อน เพราะ Fed มีแนวโน้มขึ้นดอกเบี้ย ... ซึ่งถ้า ดอกเบี้ยนโยบายขึ้น จะส่งผลกระทบให้ ราคาตราสารหนี้ที่อยู่ในตลาดลดลง ( ไว้วันหลังจะมาเล่าให้ฟังนะว่ามันเกี่ยวกันยังไง )... และถ้าหากราคาตราสารหนี้ลดลง จะทำให้ “มูลค่าสินทรัพย์” ของหน่วยลงทุนลดลง  NAV  จะลด ... ก็ต้อง ขายออกไปก่อนนะครัช ^^)
-          กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานต่างประเทศ ... 4% ใน 4 เดือน ( ดูดีมากแหละ... แต่ขายออกไปก่อน  กลัวความอ่อนไหวของเศรษฐกิจ และเป็นความอ่อนไหวของตัวป้าเองด้วย  แอร๊ยยยยยย  >< )

สุดท้ายนี้ ( ท้ายจริงๆละ)  ... อย่างที่บอกแต่แรกนะคะ  ... ป้าไม่ได้เชี่ยวชาญทางด้านการลงทุนกองทุนรวม  ดังนั้น   บทความนี้จะเป็นอะไรที่ผิวมากๆ  และมีผลตอบแทนจากการลงทุนจริงของป้ามาเล่าให้ฟัง  แต่ไม่ได้หมายความว่า คนอื่นจะได้ผลตอบแทนแบบเดียวกับป้านะ  อาจจะมากกว่า น้อยกว่า   แล้วแต่กองที่เค้าเลือกลง
ป้าหวังว่า  คุณจะได้ไอเดียบ้างนะคะว่า  การลงทุนในกองทุนรวม คืออะไร?  แล้วคงพอจะเข้าใจตัวเองได้ว่า ถ้าหากคุณจะเลือกลงทุนในกองทุนรวมนี้ มันเป็นเพราะอะไร?  และหวังที่สุด คือ  คุณจะหาข้อมูลให้มากก่อนตัดสินใจลงทุน
ก็ขอฝาก  FB Page  ของพี่ชายสุดที่รักของป้า ... หมอนัท คลินิกกองทุน ...  ไว้ให้ติดตาม หาข้อมูลความรู้เกี่ยวกับกองทุนก่อนตัดสินใจลงทุนด้วยค่ะ ^^


ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกันและอ่านบทความของป้านะคะ^^

Tuesday, October 11, 2016

มาวางแผนการเงินกันเถอะ 3

สวัสดีค่าาาาาาา  ป้าหงีคนเดิมเพิ่มเติมคือความเสียสติ มารายงานตัวค่าาาาาาา

หลังจากที่ตลาดหุ้นร่วงลงเละติดต่อกันเป็นเวลา 2 วันแบบไม่ให้พักหายใจหายคอ ... ป้าก็ได้รู้สึกอึนๆ มึนๆ เสียสติเป็นบางเวลา ... ว่ากันไปตามสภาพนะคะ^^

วันนี้ก็ตามเคยค่ะ จะมาเล่าเรื่อง "การวางแผนการเงินส่วนบุคคล" กันต่อ ... เรายังคงอยู่ในส่วนของ "การลงทุน" นะคะ  ซึ่งโพสต์ที่แล้ว ป้าเล่าเรื่อง "หุ้นกู้" ไปแล้ว ... สำหรับใครที่สนใจ ก็เชิญนะคะ "มาวางแผนการเงินกันเถอะ 2" ตามไปเยี่ยมชมกันได้

เข้าธีมกับความเสียสติของป้า ... โพสต์นี้ป้าจะมาเล่าเรื่องการลงทุนในสินทรัพย์ทางการเงินตัวที่ป้าชอบที่สุด นั่นก็คือ "หุ้น" ค่ะ :)

คุณขา ... ก่อนอื่น คุณต้องเข้าใจนะคะว่า สินทรัพย์ทางการเงินที่คุณจะสามารถนำเงินของคุณไปลงทุนแล้วทำให้งอกเงยได้นั้นมี 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ  ประเภทหนี้สิน ( คุณเป็นเจ้าหนี้ เอาเงินไปให้เค้ากู้) และ ประเภทส่วนของทุน (คุณเอาเงินไปร่วมทำธุรกิจกับเค้า)    

"หุ้น" เป็น สินทรัพย์ทางการเงินประเภท "ส่วนของทุน" ซึ่งก็คือ การที่คุณนำเงินไปร่วมทำธุรกิจกับเค้า

โปรดฟังอีกครั้งหนึ่ง ... คุณ  นำเงินไป "ร่วมทำธุรกิจกับเค้า" ....

หลายๆคน คงเคยได้ยินได้ฟังกันมาบ้างว่า ... การลงทุนในหุ้น หรือ คนชอบเรียกว่า"เล่นหุ้น" ( ซึ่งป้าไม่ชอบคำว่า "เล่นหุ้น" นะคะ ... การลงทุนในหุ้น ไม่ใช่ "การพนัน" ค่ะ.. ถ้าคุณเห็นมันเป็นการพนัน ป้าว่า เชิญที่บ่อนค่ะ  เร็วกว่า ปวดหัวน้อยกว่า แทงสูงแทงต่ำ แทงดำแทงแดง กันไปเลย  ไม่ต้องปวดหัวดูกราฟ หรืออ่านรีเสิร์ชให้ตาลาย ... อุตะ บ่นเยอะ '-_-!)  ค่ะ  ... มันมี 2 แนวทางหลักๆ คือ  การลงทุนโดยดูปัจจัยพื้นฐาน (Fundamental) และ การลงทุนโดยดูปัจจัยทางเทคนิค ( Techinical )  ซึ่งอย่างหลังเนี่ย... ป้าไม่เชี่ยวชาญ  และได้ทดลองมากับตัวแล้วก็พบว่า ไม่ถูกกับจริตของป้า จึงจะขอละไว้ ไม่ให้รายละเอียดนะคะ ^^

ในส่วนของ "การลงทุนโดยดูปัจจัยพื้นฐาน" ... อย่างที่บอก คุณกำลังเอาเงินไปร่วมทำธุรกิจกับเค้า ... ไม่ต้องคิดอะไรลึกค่ะ ... เหมือนคุณเอาเงินไปลงทุนทำร้านก๋วยเตี๋ยว  คุณหวังอะไรคะ?  กำไรใช่ไหม? ... ฉันใดก็ฉันนั้น  คุณเอาเงินไปซื้อ "หุ้น"  คุณกำลังเอาเงินไป "ร่วมทำธุรกิจ" ดังนั้น ผลตอบแทนที่คาดหวังหลักๆ มันก็ควรจะมาจากดอกผลที่งอกเงยจากการทำธุรกิจ หรือก็คือ "กำไร" ซึ่งจะถูกจ่ายออกมาจากบริษัท มาถึงคุณในรูปของ "เงินปันผล" ค่ะ

จริงอยู่ ... หลายๆท่าน อาจจะมองถึงเรื่อง "ส่วนต่างราคา" ซึ่งอันนี้ป้าก็ต้องเรียนว่า มันเป็น "ผลพลอยได้" นะคะ ... จะเปรียบเทียบไป มันก็เหมือนร้านก๋วยเตี๋ยวร้านนั้นอ่ะค่ะ .. สมมติ คุณขายดี มีคนมาขอซื้อ "ร้าน" ... คุณลองถามใจตัวเองดู  คุณจะขายไหมคะ? ... ไม่ถูกไม่ผิดนะคะ  แต่ถ้าคุณเลือก "ขาย" ... ป้าก็อยากจะให้คุณลองคิดให้ดีค่ะ  คุณขายไป  ได้เงินมา 1 ก้อน ... อาจจะกำไรมากโขอยู่ ... คำถามคือ  "แล้วไงต่อ?"

คุณจะเอาเงินที่ได้จากการขายร้านก๋วยเตี๋ยวไปทำอะไรต่อคะ?  ลงทุนธุรกิจใหม่? หรือจะเลิกทำงานแล้วใช้เงินที่ได้มาจากการขายร้านให้มันหมดๆไป?  :)  พอจะเห็นภาพอะไรไหมคะ?

ดร.นิเวศน์ เคยเขียนหนังสือเล่มหนึ่งชื่อ "หุ้นห่านทองคำ" ... ป้าคิดว่า เป็นการเปรียบเทียบที่เห็นภาพ และงดงามจริงๆ ... คุณคงเคยอ่านนิทานเรื่อง "ห่านทองคำ" กันใช่ไหม? ... ถ้าไม่เคยไม่เป็นไร  ป้าพร้อมจะเล่าคร่าวๆให้ฟังค่ะ  แหะๆ  ... ถ้าหากคุณมีห่าน 1 ตัว และห่านตัวนั้น ออกไข่เป็น "ทองคำ" ซึ่งคุณสามารถนำ "ไข่" นั้นไปขายที่ตลาด เพื่อนำเงินมาประทังชีวิต ซื้อของต่างๆได้ ... ทางที่ฉลาด และเป็นการเลี้ยงชีพในระยะยาว  คุณจะเลือกทำอะไรคะ ระหว่าง ดูแลห่านนั้นให้ดี แล้วรอให้มัน "ออกไข่" เพื่อนำไปขายที่ตลาดเรื่อยๆจนตลอดชีวิตของมัน  หรือคุณเลือกจะ "ขายห่าน" หรือ "ผ่าท้องห่านเพื่อเอาไข่ทองคำทั้งหมดในคราวเดียว"? ซึ่งมีไม่มีก็ไม่รู้นะคะ

ฉันใดก็ฉันนั้น ... ถ้าหากคุณปลูกต้นแอปเปิ้ล  แน่นอน คุณคงหวังกิน "ผลแอปเปิ้ล" มากกว่าจะรอมันออกลูก แล้วถอนต้นมันขายเพื่อก่อรายได้แค่ "ครั้งเดียว" ใช่ไหม

การลงทุนในหุ้นก็เหมือนกันค่ะ ... ป้าคิดว่า คุณควรจะมี Mindset ที่ถูกต้องเสียก่อน ว่า นี่คือการลงทุน และคุณต้องการอะไรจากการลงทุน

ส่วนต่างราคา เป็นแค่ "ผลพลอยได้" ... และไม่ใช่เรื่องเลยที่จะต้องไปนั่งกังวลต่อมัน "ทุกวัน" "ทุกๆวัน" ( ยกเว้น คุณลงทุนในแนวทางของ Technical ซึ่งต้องคอยดูความเปลี่ยนแปลงของราคา ที่เรียกกันว่า Price Pattern ประกอบกับ Indicator ตัวอื่นๆ แล้วแต่ใครจะชอบแบบไหน)

คุณควรจะเข้าใจค่ะว่า ตามทฤษฎีแล้ว แม้ "ราคา" ควรจะสัมพันธ์กับ "พื้นฐาน" ... แต่ในความเป็นจริง "ราคาหุ้น" ไม่ใช่แค่เรื่องของพื้นฐาน  แต่มีปัจจัยด้าน Demand และ Supply เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย  ยกตัวอย่างง่ายๆ เช่น  ถ้าหากวันนี้  "คนส่วนใหญ่" สนใจในธุรกิจใดธุรกิจหนึ่ง  ธุรกิจนั้น ก็จะได้รับความนิยม ก่อให้เกิด Demand มาก ซึ่งตามหลักเศรษฐศาสตร์ง่ายๆ ก็คงจะพอทราบได้เนาะคะว่า  Demand increase, price increase :)  ในทางกลับกัน ถ้าหากวันนี้ "คนส่วนใหญ่" ได้ "ข่าวร้าย" ซึ่งยังไม่รู้เรื่องจริงหรือโคมลอย  หรือยังไม่ได้ประเมินผลกระทบที่เกิดขึ้นอย่างถ่องแท้  แต่ "รู้สึก และคิด" ว่ามันไม่ดีต่อธุรกิจนี้แน่ๆ  ก่อให้เกิด ความต้องการจะ "ขาย" ซึ่งก็คือทำให้มี Supply ของหุ้นตัวนี้มากขึ้น  หลักเศรษฐศาสตร์อันเดิม  Supply increase, price decrease ค่ะ  .... ซึ่งอันนี้เป็นแค่ตัวอย่างของปัจจัยที่เป็นที่มาของ Demand และ Supply ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว มีเหตุอีกมากนักที่จะทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงใน Demand และ Supply ได้

ดังนั้น ... ป้าจึงบอกว่า  ให้มองการลงทนในหุ้น คือ การลงทุนทำธุรกิจ ... ดูที่พื้นฐาน ... ดูที่ "ไข่ทองคำ" หรือ "ผลกำไรของบริษัท" ..  ถ้าหากคุณมองว่า ธุรกิจนั้นดี ทำกำไรงอกงาม จ่ายปันผลให้คุณได้ชื่นใจอยู่สม่ำเสมอ ... สิ่งที่คุณควรจะจับตาในระหว่างทาง คือ "ผลการดำเนินงานของบริษัท" , พื้นฐานของธุรกิจ และ ปัจจัยอื่นที่เกี่ยวข้องกับผลการดำเนินงานในอนาคต

ถ้าหากคุณมองแล้วว่า บริษัทมีกิจการที่ดี  พื้นฐานธุรกิจไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลงไป และมองแล้วว่า บริษัทมีการปรับตัวให้ทันต่อความต้องการของผู้บริโภคตลอดเวลา รวมถึงได้วิเคราะห์ปัจจัยสำคัญอื่นด้วยแล้วพบว่า บริษัทยังดำเนินกิจการดีอยู่ ... ห่านของคุณ  ยังคงให้ "ไข่ทองคำ" กับคุณได้อยู่ ... คุณควรจะขาย "ห่าน" ไหมคะ? ... คงไม่มั้งเนอะ  คงควรจะเลี้ยงดูมันให้ดี เก็บมันไว้  เพื่อให้มันผลิต "ไข่ทองคำ" ให้คุณต่อไป  :)

อย่างไรก็ตามค่ะ ... สิ่งทีคุณต้องพิจารณาอีกอย่างหลังจากหา "ธุรกิจพื้นฐานดี" ที่คุณได้ศึกษามาเป็นอย่างดีแล้ว นั่นก็คือ "ราคาซื้อ" หรือ "ราคาหุ้น" ที่คุณกำลังจะเข้าซื้อนั่นแหละ ... ว่ามัน "แพง" ไปไหม?

ถ้าตามหลักทางการเงินแล้ว .. มันก็มีหลายวิธีในการประเมินมูลค่า หรือ ราคาหุ้น ... ซึ่งก็จะมีทั้ง DCF, P/E, PBV, etc. มากมาย (สำหรับผู้สนใจ สามารถหาอ่านได้จาก post ก่อนๆของป้า หรือจะ google เอา ก็มีมากมายค่า ^^)

ส่วนเวลานำมาใช้จริง  ป้าคิดว่า ... คุณจะซื้ออะไร คุณก็ต้องดูว่า คุณ "ได้" อะไร ... จริงไหม?  หุ้นก็เหมือนกันแหละ ... คุณคาดหวัง "กำไร" ใช่ไหม? ... ดังนั้น ง่ายๆเลยค่ะ ... ให้คุณมองว่า บริษัทนี้ จะทำกำไรให้คุณปีละเท่าไหร่ ... แล้วก็นำกำไรนั้น มาคิดพิจารณาอีกทีว่า  คุณจะ "ให้ราคา" กับการลงทุนในบริษัทนี้เท่าไหร่ ... หงีขอให้แนวทางในการพิจารณาราคาง่ายๆแบบนี้แหละค่ะ  เพราะว่า มันไม่มี ถูก หรือ ผิด ... มันแล้วแต่ความเห็น และความ "พอใจ" ของคนซื้อ

เช่น  ถ้าบริษัท a สร้างกำไรปีละ 100 ล้านบาท คิดเป็นกำไรต่อหุ้น หุ้นละ 1 บาท ... ถ้าหากหงีมองว่า บริษัทนี้ จะไม่หยุดแค่นี้ มันจะโตอย่างก้าวกระโดดในปีหน้า เป็น กำไรต่อหุ้น หุ้นละ 2 บาท แล้วจะโตต่อเรื่อยๆ โดยภายใน 5 ปี จะมีกำไรต่อหุ้น รวมกัน ประมาณ 7 บาท ... หงีอาจจะ "พอใจ" ซื้อหุ้นนี้ ในราคา 7 บาท

ในขณะเดียวกัน ... หุ้นตัวเดียวกัน ... แต่ สมมติว่า เพื่อนหงีมองว่า กำไรต่อหุ้น หุ้นละ 1 บาทปีนี้  แต่บริษัทน่าจะโตเป็น 10 เท่า ในอีก 5 ปีข้างหน้า ... เค้าอาจจะ "พอใจ" ซื้อที่ 10 บาทก็ได้

ส่วนเพื่นอีกคน ... หุ้น a เนี่ยแหละ ... แต่มองว่า กันเหนียวเว้ย  สมมติมันไม่โต ทำกำไรปีละ 1 บาทต่อหุ้นเนี่ย ... สมติซื้อวันนี้  เก็บไว้เย็นๆ คิดว่า 5 ปีทนได้ ... คนนี้อาจจะ "พอใจ" ซื้อที่ราคา 5 บาท

และตัวอย่างสุดท้าย ... ถ้าเพื่อนคนสุดท้ายนี้ คิดเหมือนคนก่อนหน้า คือ กันเหนียว สมมติไม่โต เก็บไว้เย็นๆ 5 ปีทนได้ .. แต่คนนี้ คิดว่า ณ สิ้นปีที่ 5 จะขายหุ้นออกไป ก็จะได้เงินจากการขายหุ้นมาด้วย ... เพื่อนคนนี้ อาจจะ "พอใจ" ซื้อในราคาทีสูงกว่า 5 บาท .. แต่จะ "พอใจ"ที่เท่าไหร่นั้น ก็แล้วแต่ว่า เค้ามองว่า ณ สิ้นปีที่ 5 เค้าคิดว่า เค้าจะขายหุ้นได้ราคาเท่าไหร่

แน่นอน ... ไม่มีใครประเมินแค่ "เท่าทุน" หรอก ... คิดว่าได้จะได้เท่าไหร่  ก็จะ "ลด" จากสิ่งที่ประเมินนั้นลงมา ... แล้วแต่ความพึงพอใจของแต่ละท่าน ... และแน่นอน  ถ้าราคามันเกินกว่าที่คุณ "พอใจ" มันก็คง "แพง" สำหรับคุณจริงไหม?  ดังนั้น อะไรที่ "แพงไป" ก็ไม่ต้องซื้อค่ะ .. คุณเลือกได้ คุณจะรอ "ราคาถูกลง" หรือ "หาของอื่น" ก็ได้  แล้วแต่คุณจะพอใจ :)

วิธีที่ป้ายกมาเป็นตัวอย่างเนี่ย .. มันคล้ายๆกับวิธี P/E หรือ Price to Earning หรือ การให้ราคาเป็นกี่เท่าของกำไรต่อหุ้น :) ซึ่งป้าคิดว่า จะใช้คำว่า P/E ก็ฟังดูวุ่นวายค่ะ  เอาหลักง่ายๆ วิธีคิดของมันเนี่ยแหละ มาเล่าให้ฟัง น่าจะเข้าใจง่ายดี

ป้าขอสรุป "การลงทุนในหุ้น" อย่างง่ายๆตรงนี้นะคะว่า  มันคือการที่คุณเอาเงินไปร่วมทำธุรกิจกับเขา ... ดังนั้น  จะเอาเงินไปให้ใคร "ศึกษาให้ดีเสียก่อน" ... อย่าลงทุนในธุรกิจที่คุณ "ไม่เข้าใจ" และอย่า "ละเลย" ไม่ติดตามข่าวสารความเป็นไปเมื่อได้ลงทุนไปแล้ว

"หุ้นดี" แบบ "เขาเล่าว่า" เขาบอกมา ราคามันจะไปเท่านู้นเท่านี้บาท ... ป้าคิดว่า ฟังหูไว้หูดีกว่านะคะ ... กรุณาศึกษาบริษัท "หุ้นดี" นั้นให้ดี ... อะไรจะเป็นปัจจัยให้ราคามันวิ่งไปขนาดนั้น?  พื้นฐานธุรกิจเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมืออันจะทำให้บริษัทมีกำไรเป็นกอบเป็นกำ เติบโตแบบก้าวกระโดดพุ่งเป็นจรวด หรืออย่างไร?  ... ป้าขอเตือนไว้  หากขาด "พื้นฐาน" ที่ดีแล้ว ... หุ้นเขาเล่าว่า แบบนี้ ... ล้วนแล้วแต่หุ้นซิ่งไม่ลิ่งก็ฟลอร์ ซึ่งเมื่อมันลิ่ง คุณจะขายไม่ทัน แต่เมื่อมันฟลอร์  คุณจะมีมันติดอยู่ในพอร์ต ฟ้องเป็นค่าวิชาที่คุณลงเรียนศาสตร์ "เขาเล่าว่า" ไป

สำหรับ .. สาเหตุ ที่ตลาดลง 2 วันติดมานี้ ... ป้าไม่สามารถบอกได้ค่ะ ด้วยหนึ่งคือ รู้น้อย ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญ และ สองคือ  ป้าเชื่อวา ไม่มีใครรู้เหตุผลที่แท้จริง ... มันก็แค่การตัดสินใจของคนหมู่มาก ... ซึ่งอย่างที่ป้าบอก  ถ้าหากคุณได้ตัดสินใจดีแล้ว  ซื้อหุ้นที่ "พื้นฐานดี" ใน "ราคาเหมาะสม" แล้ว ... คุณไม่มีอะไรจะต้องกังวลค่ะ .... แม้ตลาด "ในวันนี้" จะเป็นอย่างไร  มันแค่สะท้อน "การตัดสินใจของคนหมู่มาก ในวันนี้" ไม่ใช่ "ตลอดไป"

อย่างไรก็ตาม  ข้อควรระวังที่ป้าต้องใส่ไว้หน่อยคือ  เมื่อเกิดวิกฤต ... คนส่วนมาก มักตัดสินใจ "ขาย" ซึ่งอาจจะทำให้ราคาหุ้นที่คุณลงทุนอยู่ดำดิ่งลึกลงไปมาก หลายๆครั้ง มากจนคุณอาจจะต้องตกใจ ... อันนี้ ป้าต้องบอกไว้ เพราะ เมื่อเกิดเหตุการณ์นั้นขึ้น  แต่ละคนจะมีวิธีการตัดสินใจไม่เหมือนกัน ... เช่น  ถ้าหากบางคน เงินเย็น รอได้  ไม่ได้สนใจราคาหุ้นจะเป็นเท่าไหร่ ตราบใดกิจการยังคงดำเนินไปตามปกติและเติบโต จะรอกินแต่ "ข่ทองคำ"  คนแบบนี่้ เค้าก็อาจจะตัดสินใจ "ม่ขาย"  แต่ในขณะเดียวกัน  หากคุณ ไม่มั่นใจ อยากจะกอดเงินไว้  คุณจะขายออกมาในเวลานั้น มันก็ไม่ได้ผิด  เพราะมันเป็น "เงินของคุณ"

อันที่จริง ในเรืองของการลงทุนในหุ้น  มันมีรายละเอียดค่อนข้างมากที่คุณควรจะศึกษาให้ดีก่อนการลงทุน .. แต่วันนี้ ป้าขออนุญาตนำมาเล่าแบบ คร่าวมากๆ  เพื่อเป็นการปูพื้นฐานสำหรับผู้ที่สนใจในการลงทุนในหุ้นค่ะ

โปรดฟังอีกครั้งหนึ่งนะคะ ... ถ้าหากคุณกำลังตัดสินใจอยากจะซื้อหุ้น นั่นหมายความว่า คุณกำลังจะนำ "เงินของคุณ" ไป "ร่วมทำธุรกิจ" กับคนอื่น  ดังนั้น  จะเอาเงินไปให้ใคร  ศึกษาให้ดี ให้รอบคอบค่ะ ^^

ด้วยความปรารถนาดีจากป้า

รักนะ จุ๊บ จุ๊บ

God Bless you

Thursday, September 15, 2016

มาวางแผนการเงินกันเถอะ 2



สวัสดีค๊า^^ คิดถึงป้าไหมคะ? คิดถึงเถอะค่ะ ไม่งั้นเดี๋ยวป้าจะเขิน ถ้าถามแล้วไม่มีคนตอบรับ 555+

 
ในระหว่างช่วง Low ของร้านในตอนบ่าย ... อยู่ดีๆ ป้าก็เกิดความรู้สึกอยากจะเขียนขึ้นมา เพราะคิดถึงการระบาย พรั่งพรู บอกเล่าเรื่องราวต่างๆค่ะ หุหุหุ ดูเก็บกดเนอะ
 
ตามที่สัญญา ... คราวนี้ ป้าจะมาเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับ “การลงทุนส่วนบุคคล” ค่ะ ...
อย่างที่บอก ... การวางแผนการเงิน การบริหารจัดการการเงินส่วนบุคคล ... นอกเหนือจากการ หาให้มาก ใช้ให้น้อยแล้ว มันก็ยังมีเรื่องของการ “เก็บออม” และ “ลงทุน” ด้วยค่ะ
 
และปัญหาโลกแตกสำหรับคนที่มีเงินเหลือ ( เฮ้ย ฟังดูดี ) ก็คือ จำนวนเงินที่เหมาะสมที่ควรนำไปลงทุนควรจะเป็นเท่าไหร่? แล้วควรจะเก็บสำรองฉุกเฉินไว้ในธนาคารให้เบิกง่ายๆเท่าไหร่ดี?
ก่อนจะรู้ว่า ควรเอาเงินไปลงทุนเท่าไหร่ดี ... เราต้องทำความเข้าใจก่อนว่า เงิน เก็บไว้เฉยๆ มันก็ไม่ได้เพิ่มมูลค่าอะไร มีแต่จะเสื่อมค่าลงไปเรื่อยๆ เพราะเรื่องของ “เงินเฟ้อ” ( คงจำเคสข้าวกะเพราไก่ไข่ดาวในโพสต์ที่แล้วได้ใช่ไหมคะ? )

 
ดังนั้น ท่านว่า ยิ่งเก็บ “เงินสด” ไว้กับตัวมากเท่าไหร่ ต้นทุนของมันก็คือ ค่าเสียโอกาส ที่จะไปทำให้มันงอกเงย มากเท่านั้น ... แต่อย่างไรก็ตาม เอาแต่พอดีค่ะ มนุษย์ปกติทุกคน ควรมีเงินสดติดตัวไว้ใช้ค่ะ

 
ตามหลักการวางแผนการเงินส่วนบุคคลนั้น ท่านว่า ... ก่อนที่เราจะนำเงินไปลงทุนนั้น เราควรจะมีเงินที่เก็บไว้ใช้จ่ายทั้งหมด 3 ส่วนด้วยกัน คือ 1)เงินที่ไว้ใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน 2)เงินที่เก็บสำรองไว้ใช้จ่ายยามฉุกเฉิน 3)เงินที่เก็บสำรองไว้เพื่อจุดประสงค์อะไรบางอย่าง เช่น เงินเก็บซื้อรถ เป็นต้น

สำหรับเงินในส่วนแรก คือ เงินที่ไว้ใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน ท่านว่า เราควรเก็บเงินสดไว้กับตัว ไว้ใช้จ่ายเนี่ย ประมาณ ให้เพียงพอต่อการใช้จ่าย 1-2 สัปดาห์ นอกนั้น ให้ไปเก็บในรูปฝากออมทรัพย์ หรืออื่นๆแทน ... ซึ่งป้าคิดว่า ถ้าหากจะเก็บไว้ในรูปของบัญชีออมทรัพย์แล้ว ก็ควรจะเป็นบัญชีแยกออกจากบัญชีออมทรัพย์ที่ตั้งใจเก็บออมเพื่อวัตถุประสงค์อย่างอื่น เพื่อเป็นการควบคุมค่าใช้จ่าย และง่ายต่อการบริหารจัดการ

 
มาถึงเงินส่วนที่ 2 คือ เงินที่เก็บสำรองไว้ใช้ยามฉุกเฉิน ... ท่านว่า เราควรเก็บเงินส่วนนี้ไว้ประมาณ 3 – 6 เท่าของค่าใช้จ่ายในแต่ละเดือน เช่น ถ้าหากทุกๆเดือนคุณมีค่าใช้จ่ายทั้งหมด 10,000 บาท คุณจะต้องมีเงินสำรองนี้ประมาณ 30,000 – 60,000 บาท ... เหตุผลในข้อนี้ท่านว่า เผื่อตกงานกระทันหัน อย่างน้อย คุณจะสามารถมีเงินไว้ใช้เลี้ยงชีพไปได้ราว 3 – 6 เดือนในระหว่างที่หางานใหม่ ... ทั้งนี้ทั้งนั้น ในส่วนตัวป้าคิดว่า เงินในข้อนี้ เอาที่สบายใจค่ะ บางคนอยากเก็บซัก 12 เท่าของค่าใช้จ่ายต่อเดือน หรือ 20 – 30 เท่า .. แล้วแต่ เอาที่เหมาะสมกับตัวคุณและครอบครัว ... ป้าคิดว่า ค่าใช้จ่ายไม่คาดฝัน หลักๆ นอกจากการตกงานก็คือ ค่าใช้จ่ายทางด้านสุขภาพ เจ็บป่วย พิการ บาดเจ็บ อะไรต่างๆ ซึ่งถ้าหากคุณและคนในครอบครัวมีประกันสุขภาพอยู่แล้ว ตรงนี้ก็ทำให้ความจำเป็นที่คุณจะต้องสำรองเงินไว้มากๆนั้นลดลง แต่ถ้าหากคุณและคนในครอบครัวไม่ได้มีประกันสุขภาพอะไร อันนี้ อาจจะทำให้คุณต้องพิจารณาเก็บเงินสำรองในส่วนนี้มากขึ้นค่ะ ... ดังนั้น สรุป เอาที่เหมาะสม เอาที่สบายใจ J

 
สำหรับเงินในส่วนสุดท้าย คือ เงินที่เก็บสำรองไว้เพื่อจุดประสงค์อะไรบางอย่าง อันนี้มันก็ขึ้นอยู่กับว่า "จุดประสงค์อะไรบางอย่าง" ของคุณนั้น คืออะไร? เช่นข้างบน ป้ายกตัวอย่าง เก็บเงินซื้อรถ อันนี้คุณก็ควรจะแยกบัญชีออกมาอีกหนึ่งบัญชีเพื่อให้ชัดเจน ไม่วุ่นวาย ไม่เสี่ยงต่อการดึงเงินส่วนนี้ไปใช้ค่ะ

 
และเมื่อกันเงินไว้ครบทั้ง 3 ส่วนแล้ว ... เหลือเท่าไหร่ จึงจะพิจารณานำไป "ลงทุน" ทำให้งอกเงย ^^ ซึ่งการลงทุนนั้น ป้าเคยเกริ่นไปในโพสต์ก่อนๆแล้วอ่ะนะคะ หลักๆ คนธรรมดาอย่างเรา จะนำเงินไปลงทุนได้ก็มีอยู่หลักๆ คือ กองทุน, หุ้นกู้, หุ้น, ทองคำ, อสังหาริมทรัพย์ และ สินทรัพย์เพิ่มมูลค่าอย่างอื่น ซึ่งป้าจะเล่าคอนเซปต์ของสินทรัพย์ต่างๆให้ฟังที่เป็นสินทรัพย์ทางการเงินเท่านั้น ไม่รวม ทองคำ เพราะไม่ถนัด ไม่มีความรู้ และ สินทรัพย์เพิ่มมูลค่าอย่างอื่น ซึ่งมันค่อนข้างเป็นไปได้กว้างมาก ตั้งแต่ ภาพเขียน ไปจนถึงนาฬิกา และสาวๆบางคนก็บอกว่า กระเป๋า ซึ่งในหมวดนี้ ป้าขอบอกว่า ป้าไม่ถนัดอีกเช่นกันค่ะ

 
ก่อนอื่น .. คุณต้องเข้าใจนะคะว่า "การลงทุนมีความเสี่ยง" ... อันนี้ เป็นกฎธรรมชาตินะคะ ไม่ว่าคุณจะลงทุนในสินทรัพย์ตัวไหน ... จริงอยู่ว่า Government Bond หรือ หุ้นกู้รัฐบาล จะถูกจัดหมวดเป็น Risk Free Asset หรือ สินทรัยพ์ไม่มีความเสี่ยง ... แต่สำหรับป้าแล้ว ป้าคิดว่า มันก็ยังมีความเสี่ยงอยู่ดี แค่มากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับว่าผู้กู้คือประเทศอะไรค่ะ ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเป็น หุ้นกู้รัฐบาลอังกฤษ แบบนี้ ป้าก็ว่าความเสี่ยงต่ำนะคะ เพราะเศรษฐกิจประเทศเค้าแข็งแรง ... แต่ถ้าหากเป็น หุ้นกู้รัฐบาลกรีซ ล่ะ? ถามหน่อยว่า ใครกล้าซื้อบ้างคะ? จำได้ใช่ไหมว่า พี่กรีซแกประเทศล้มละลายน่ะ

เพราะฉะนั้น ป้ายังยืนยันคำเดิมนะคะ "การลงทุนทุกชนิดมีความเสี่ยง" ดังนั้น คุณควรจะศึกษาสินทรัพย์ที่คุณกำลังจะนำเงินไปลงทุนให้ดีค่ะ ไม่ว่ามันจะเป็นอะไร

 
อ่ะ เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา ... ป้าจะขอพูดถึงสินทรัพย์ตัวแรกค่ะ นั่นก็คือ หุ้นกู้ ... หุ้นกู้ มาจากคำว่า หุ้น + กู้ ... การกู้ ก็คือ กู้หนี้ยืมสินนั่นล่ะ ... ส่วนคำว่า หุ้น ก็คือ หุ้นกัน ...ดังนั้น หุ้นกู้ คือ หุ้นๆกัน นำเงินมาให้เขากู้ ... เข้าใจมิ ... ดังนั้น หุ้นกู้ ก็คือ การที่คุณมีศักดิ์เป็นเจ้าหนี้ นำเงินมาให้ ลูกหนี้ ซึ่งอาจจะเป็นรัฐบาล หรือ บริษัทห้างร้านต่างๆ กู้ยืมเงิน และตามหลักธรรมดาสากลโลก ... เอาเงินให้เขากู้ คุณก็จะได้ "ดอกเบี้ย" ตามอัตราที่ตกลงกันไว้ ซึ่งจะจ่ายให้ตามรอบเวลาที่กำหนดกันไว้ เช่น ปีละครั้ง, ทุก 6 เดือน หรือ ทุก 3 เดือน เป็นต้น ... อ่ะ แล้วทำไมต้องมีคำว่า "หุ้น" ด้วยล่ะ? แหม่.. คุณขา ก็หลายๆครั้ง จำนวนเงินที่ รัฐบาล หรือ บริษัทใหญ่ๆ เค้าต้องการกู้เนี่ย ก็เป็นจำนวนเงินมหาศาลบานตะไท เช่น หลายพันล้าน หรือ หมื่นล้าน ซึ่งยาก ที่คนๆเดียวจะมีเงินมากขนาดนั้น หรือมีมากกว่านั้น ก็เป็นการลำบากใจที่จะต้องเป็นเจ้าหนี้แต่เพียงผู้เดียว เพราะมันจะเท่ากับรับความเสี่ยงไว้แต่เพียงผู้เดียว .. ดังนั้น มันจึงจำเป็นต้อง "ซอย" ออกมาเป็นหน่วยย่อยๆ แล้วให้คน "หลายๆคน" เอาเงินมาหุ้นๆกันให้กู้ได้ J

 
ตรงนี้ ... อย่างที่บอก คุณจะได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนเป็นอัตราคงที่ (Fixed Income) ซึ่งก็คือ "ดอกเบี้ย"…. ซึ่งจะได้มากหรือน้อย ก็ขึ้นอยู่กับว่า ลูกหนี้ หรือ ผู้กู้นั้นเป็นใคร? ถ้าหากเป็นรัฐบาล เนื่องจากเสี่ยงต่ำ คุณก็จะได้ดอกน้อยหน่อยค่ะ แต่ถ้าหากเป็นบริษัทเอกชน คุณก็จะได้ดอกเบี้ยสูงกว่ารัฐบาลค่ะ แต่จะสูงกว่ามากน้อยแค่ไหน ก็ขึ้นอยู่กับว่า บริษัทนั้นมีอันดับความน่าเชื่อถือเป็นอย่างไร ถ้าอันดับความน่าเชื่อถือมาก ความเสี่ยงต่ำ อัตราดอกเบี้ยก็ไม่สูงนัก แต่ถ้าหากมีอันดับความน่าเชื่อถือต่ำ ความเสี่ยงสูง อัตราดอกเบี้ยที่จะได้รับก็จะสูงตามค่ะ ... อันนี้ ก็แล้วแต่ความพอใจของผู้ลงทุนค่ะ เช่น ถ้าหากคุณเห็นว่า บริษัท ABS ถึงแม้จะมีอันดับความน่าเชื่อถือไม่สูงนัก แต่คุณดูแล้วกิจการมั่นคง ผู้บริหารก็เป็นคนดีน่าเชื่อถือ คุณก็อาจจะเลือกให้บริษัท ABS กู้ก็ได้ ^^

 
ซึ่งปัจจุบัน ... ก็มีหุ้นกู้ออกมามากมายนะคะ ผู้สนใจลงทุนสามารถหาข้อมูลได้จาก www.thaibond.com และ www.thaibma.or.th ค่ะซึ่งถ้าลองเข้าไปดูก็จะพบว่า หุ้นกู้หลายๆตัว จะออกให้แก่ ผู้ลงทุนสถาบันหรือผู้ลงทุนรายใหญ่เท่านั้น ดังนั้น มันจึงมี "กองทุนรวมหุ้นกู้" ออกมา เพื่อให้นักลงทุนรายย่อยอย่างเราได้ลงทุนค่ะ^^ ซึ่งในรายละเอียด หงีจะเล่าต่อไปใน Part ของ กองทุนรวม นะ
 
เอาล่ะค่ะ .. วันนี้ป้าจะขออนุญาติ เล่าให้ฟังแต่เพียงเท่านี้ก่อนเนื่องจากนั่งมานานก็ปวดหลังแล้ว '-_-!   แล้วคราวหน้า ป้าจะมาเล่าให้ฟังต่อถึงสินทรัพย์ทางการเงินอันต่อๆไปนะ ^^
 
ขอบคุณมากๆที่เข้ามาอ่าน ^^  ป้าหวังว่า จะได้ประโยชน์บ้างไม่มากก็น้อยนะคะ  ... ป้าอยากให้ทุกคนดำเนินชีวิตอยู่ในความไม่ประมาท และมีคุณภาพชีวิตที่มั่นคงค่ะ
 
God Bless You,
ngee