สวัสดีค่า ^^ ไม่เจอกันนานเลยน๊า ...
ขอโทษทีพอดีช่วงที่ผ่านมายุ่งมวาก >< แถมมีเหตุ Unplan มากมาย แต่ !!!
อย่าไปสนใจเลย
มาเข้าเรื่องของเราดีกว่า J
วันนี้ ... ป้าจะมาต่อเรื่อง “การวางแผนการเงินส่วนบุคคล” นะคะ
ซึ่งตอนนี้ก็เป็นตอนที่ 4 แล้ว (
และคาดว่าน่าจะมีอีกหลายตอนทีเดียวล่ะ 555+ อย่าพึ่งเบื่อกันซะก่อนล่ะ) ท่อนนี้ก็ยังคงอยู่ในเรื่องของ “การลงทุน”...
แน่นอนค่ะ คนเรา มีเงินเหลือแล้ว ก็ควรนำมา
“ลงทุน” ให้ออกดอกออกผล อาจจะเพื่อใช้จ่ายในอนาคต หรือ
เพื่อป้องกันการเสื่อมค่าของเงินอันเนื่องมาจากอัตราเงินเฟ้อ @_@
คราวที่แล้ว ...ป้าพูดถึงเรื่อง “การลงทุนในหุ้น” ... วันนี้ก็จะมาเล่าเรื่องของ
“การลงทุนในกองทุน” หรือ “กองทุนรวม” ที่เค้าเรียกๆกันนั่นแหละ
... บอกกันตามตรงเลย คือ ป้าเนี่ย ไม่ถนัดกองทุนมากๆ ... แต่จะเล่าให้ฟังแบบง่ายๆ
ที่คิดว่า คนอ่าน น่าจะนำไปพิจารณาต่อยอดตัดสินใจได้นะคะ
คำถามเบสิค กองทุนคืออะไร?
...กองทุน ก็คือ การเอา “ทุน” มา “กองรวม” กัน ... เอออ จริงๆ มันคือแบบนั้นจริงๆ
...เอาเงินของหลายๆคนมารวมกัน แล้วก็นำไปลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ ...โดย “กองทุนรวม”
ก็จะถูกซอยย่อยออกมาเป็น “หน่วย” หรือ “ยูนิต” เพื่อให้นักลงทุน หรือ
คนที่มีเงินเหลือๆอย่างเรา ( หึ!!!) ได้เข้าไปซื้อเพื่อ “ลงทุน” ค่ะ
โดยประเด็นที่คุณควรพิจารณาให้ดีก่อนจะตัดสินใจเลือกการลงทุนในกองทุน
คือ
1.
คุณได้มีการจัดสรรเงินอย่างดีแล้ว คือ ได้กันเงินส่วนที่ต้องใช้ในชีวิตประจำวัน
และ เผื่อสำรองฉุกเฉินไว้แล้ว2. ตอบตัวเองให้แน่ว่า คุณจะลงทุนในกองทุนเนี่ย คุณต้องการอะไร เช่น ต้องการเงินปันผลเพื่อใช้ในชีวิตประจำวัน , ต้องการลงไว้ให้งอกเงยเผื่อใช้ในอนาคต ระยะสั้น ระยะยาว เอาให้แน่
3. เงินก้อนนี้คุณยอมรับความเสี่ยงได้แค่ไหน?
เรื่องที่จะเล่าต่อก็คือ ...กองทุน มันมีหลายประเภท มีทั้งแบบที่ลงทุนในตราสารประเภทเดียว
คือ หนี้ก็หนี้อย่างเดียว, หุ้นก็หุ้นอย่างเดียว และมีทั้งแบบ “ผสม” เช่น หนี้ผสมหุ้น, หุ้นผสมน้ำมัน, น้ำมันผสมทอง
...ก็ว่ากันไป มีเยอะแยะเชียวคุณขา
หาได้ตาม Website ข้างบนนั้นแล
ทีนี้เบสิคที่ต้องเข้าใจ คือ
ตามหลักแล้ว ตราสารหนี้ ถือเป็น สินทรัพย์ทางการเงินที่เสี่ยงน้อยกว่า หุ้น
เพราะเมื่อบริษัททำมาหาได้มีกำไร ... ต้องนำมาจ่าย “ดอกเบี้ย” ก่อน เหลือจากนั้น
ถึงสามารถ “ปันผล” ได้ค่ะ ... และ Worst Case เมื่อเกิดเหตุต้องปิดกิจการล่มสลาย
... เจ้าหนี้
มีสิทธิ์เคลมผลประโยชน์ที่ได้จากการขายสินทรัพย์ ก่อน เจ้าของ
และอีกประการคือ คุณต้องรู้ว่า
ทอง, น้ำมัน, อัตราแลกเปลี่ยน ...สิ่งเหล่านี้เป็นตราสารที่ “เข้าใจยาก” และการเคลื่อนไหวของราคามี
“ความซับซ้อน” มาก ... ดังนั้น
ถ้าคุณสนใจพวก กองทอง หรือ กองน้ำมัน ... ป้าแนะนำว่า หาข้อมูลให้ดีมากๆก่อนการตัดสินใจลงทุนนะคะ
โดยรายละเอียดของแต่ละกองนั้น
เค้าจะมีเปิดเผยอยู่แล้วค่ะใน “หนังสือชี้ชวนลงทุน” ..
คุณจำเป็นต้องเข้าไป “อ่าน”และ “ศึกษาให้ละเอียด” นะคะว่า
เค้าเอาเงินของเราไปลงทุนในอะไรบ้าง, เงื่อนไขการเอาเงินไปลงในสินทรัพย์ตัวไหนเป็นยังไงบ้าง,
ในระหว่างทางเค้าสามารถตัดสินใจเปลี่ยนแปลงอะไรได้บ้าง ... โดยประเด็นที่คุณควรให้ความสนใจมากๆ
คือเรื่องของ “ค่าใช้จ่าย” หรือ “ค่า Fees” ซึ่งเค้าจะเรียกเก็บจากเราเป็น
ค่าบริหารเงินให้
...สิ่งเหล่านี้ต้องพิจารณาให้ดี
นอกจากนี้ ...ในระหว่างที่คุณลงทุนไปแล้ว ก็อย่าละเลยค่ะ...กรุณาหมั่นติดตาม
“ผลการดำเนินงาน” หรือเค้าเรียกว่า “Fund Fact Sheet” ซึ่ง กองทุนที่คุณลงไปนั้นน่ะ
เค้าจะส่งมาให้คุณเป็นประจำทุกๆเดือนอยู่แล้ว อาจจะทาง “จดหมาย” หรือ e-mail ตามแต่คุณระบุไว้ตอนซื้อหน่วยลงทุนทีนี้มาถึงประเด็นใหญ่ ... “ราคาซื้อ – ขาย” ... มูลค่า หรือ ราคาหน่วย ของกองทุนเนี่ยอ่ะค่ะ เค้าจะเรียกเป็น “NAV” หรือ Net Asset Value … หลักการก็เหมือน “ราคาหุ้น” แหละค่ะ มันก็มีวิ่งขึ้นวิ่งลง ... และเค้าจะคิดคำนวณกันทุกๆสิ้นวัน โดยเอามูลค่าทรัพย์สินสุทธิ / จำนวนหน่วยลงทุน ‘-_-! ( งงดิ...เอออ ป้าก็งง)
เอาคำว่า “มูลค่าทรัพย์สิน” ก่อนนะคะ ...ยกตัวอย่างง่ายๆ
...สมมติ กองที่เราลงเป็น “กองหุ้น” นะ
...มูลค่าทรัพย์สิน ก็คือ “ราคาปิดหุ้น ณ วันนั้น” คูณด้วย “จำนวนหุ้น”
ที่กองมีไว้ในครอบครอง และ มูลค่าทรัพย์สิน
“สุทธิ” คือ มูลค่าทรัพย์สิน – ค่าใช้จ่ายกองทุน
นั่นเอง ^^
ต่อมา ... คนลงทุนทุกคน ก็ต้องการ “ผลตอบแทน” โนะ... ผลตอบแทนของ “กองทุน”
ก็คล้ายๆกับ หุ้น นั่นแหละค่ะ ... มี 2 แบบหลักๆ คือ ปันผล กับ
ส่วนต่างราคาระหว่างตอนซื้อกับตอนขาย ... อันนี้ต้องดูให้ดีนะคะ เพราะถ้าสมมติ
เราอยากกิน “ปันผล”
เราก็ต้องเลือกกองที่มีการ “จ่ายปันผล”
เพราะหลายๆกองเค้า “ไม่จ่ายปันผล”
แต่จะนำผลตอบแทนที่ได้จากการลงทุนใส่กลับมาในกองแล้วเพิ่มพูนมูลค่า ส่งผลเป็น NAV
ที่สูงขึ้นแทน
( โปรดฟังอีกครั้งหนึ่ง : การที่ NAV สูงขึ้น มันก็จะทำให้ส่วนต่างราคาระหว่างตอนซื้อกับตอนขายมากขึ้น
ชดเชย การที่เราไม่ได้ “ปันผล” นั้นไป )
ส่วนตัวป้า ... ลองลงใน “กองทุน” ดูบ้าง ก็พบว่า ไม่ถูกจริต
เท่าไหร่ เพราะอ่าน Fund Fact Sheet ไม่เข้าใจค่ะ ...มันคลุมเครือ ...
ยกตัวอย่างเช่น กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานต่างประเทศ
... ป้าลองลงไป ... พยายามหาข้อมูล อ้าวเห้ย ! มันบอก
มันลงอิงกับ “กองแม่” ... หา!!! กองแม่!!!
… โอเค ได้
งั้นกุดูต่อก็ด๊ายยย กองแม่เนี่ยมันกองไหน ... ก็ไปหา ...พอหาเจอปุ๊บ ...ตาย ha!! มันก็ไม่บอกอี๊กกกกกก
ว่ามันลงในอะไรบ๊างงงงงง ... เดือดร้อนต้องไปปรึกษากูรู พี่หมอนัท คลินิกกองทุน (https://www.facebook.com/fundclinic/) ... เฮียคะ
กองเนี้ยะ มันลงในไหนบ้าง ...เฮียแกก็แนะนำวิธีดูมา ... แต่ป้าบอกเลยนะ ทุกวันนี้ก็ยังไม่ได้ดูเลย เพราะมันตามดูยาก... แล้วก็
ขายหน่วยทิ้งไปละด้วย 555+
ทั้งนี้ทั้งนั้น ...ข้อดีที่อยากบอกคือ
ถ้าคุณไม่ได้มีความรู้ความเข้าใจในการลงทุนมากนัก ...
การซื้อกองทุนรวม เป็น Option ที่ดีนะคะ ... ป้าเชื่อว่า กองที่ให้รายละเอียดชัดเจนว่า
ลงทุนไปตรงไหนบ้าง มันก็มีอยู่แหละ
แค่รายละเอียดมันจะมากมากมากมากมากหน่อย
ก็ต้องอ่านมันเข้าไปค่ะ
เพราะนั่นมันเงินของคุณ !!!
... แต่อย่างไรก็ตาม
ถ้าคุณเลือก สถาบันการเงิน ที่น่าเชื่อถือ และศึกษาข้อมูลให้มาก ...Option
นี้ เป็น Option ที่ค่อนข้างปลอดภัย
และให้ผลตอบแทนที่ค่อนข้างดีกว่าเงินฝากค่ะ
ท้ายสุด ... อีกข้อที่ต้องทราบ คือ กองทุนรวม
สามารถแบ่งหลักๆได้เป็น 2 แบบ คือ กองทุนปิด และ กองทุนเปิด i_i ( อะไร ... ปิดๆเปิดๆ อะไรของเมิงฟระ ) คืองิ
อย่างที่บอก กองทุน จะซอยขายเป็นหน่วยย่อยๆ โนะ ... ทีนี้ กองทุนปิด ก็คือ
ซอยทีเดียว จำนวนเท่าไหนเท่านั้น เช่น ซอยออกมามี 100 หน่วย
แล้วออกขาย หมดแล้วหมดเลย
ไม่ออกหน่วยใหม่ๆให้คนที่ซื้อไม่ทัน... นอกจากนี้
มันก็จะไม่รับซื้อคืนหรือรับไถ่ถอนก่อนถึงเวลาครบอายุด้วย ... ส่วนกองทุนเปิด ก็คือ กองที่มันเปิดขายหน่วยลงทุนใหม่ๆตลอดเวลา
... แต่ไม่ว่าจะ “กองปิด” หรือ “กองเปิด” คุณก็สามารถซื้อขายได้ตลอดแหละค่ะ เพราะอย่างเช่นหน่วยลงทุนของกองทุนปิด มันก็มี
“ตลาดรอง” คือ ตลาดหลักทรัพย์ฯ
ให้คุณได้เอามาซื้อเอามาขายได้ (https://www.one-asset.com/?p=2727)
สรุปผลตอบแทนจากการลงทุนในกองทุนรวมจากประสบการณ์ของป้า
-
กองทุนรวมตราสารหนี้ระยะสั้นเจ้าหนึ่ง เป็นเจ้าดัง
... 0.4% ใน 5 เดือน (
ฝากประจำมะ? ถ้าจะผลตอบแทนแบบนี้?)- กองทุนรวมตราสารหนี้ต่างประเทศเจ้าหนึ่ง .... 1% ใน 4 เดือน ( ดูดีนะ .. แต่รีบขายออกก่อน เพราะ Fed มีแนวโน้มขึ้นดอกเบี้ย ... ซึ่งถ้า ดอกเบี้ยนโยบายขึ้น จะส่งผลกระทบให้ ราคาตราสารหนี้ที่อยู่ในตลาดลดลง ( ไว้วันหลังจะมาเล่าให้ฟังนะว่ามันเกี่ยวกันยังไง )... และถ้าหากราคาตราสารหนี้ลดลง จะทำให้ “มูลค่าสินทรัพย์” ของหน่วยลงทุนลดลง … NAV จะลด ... ก็ต้อง ขายออกไปก่อนนะครัช ^^)
- กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานต่างประเทศ ... 4% ใน 4 เดือน ( ดูดีมากแหละ... แต่ขายออกไปก่อน กลัวความอ่อนไหวของเศรษฐกิจ และเป็นความอ่อนไหวของตัวป้าเองด้วย แอร๊ยยยยยย >< )
สุดท้ายนี้ ( ท้ายจริงๆละ)
... อย่างที่บอกแต่แรกนะคะ ... ป้าไม่ได้เชี่ยวชาญทางด้านการลงทุนกองทุนรวม ดังนั้น
บทความนี้จะเป็นอะไรที่ผิวมากๆ
และมีผลตอบแทนจากการลงทุนจริงของป้ามาเล่าให้ฟัง แต่ไม่ได้หมายความว่า
คนอื่นจะได้ผลตอบแทนแบบเดียวกับป้านะ
อาจจะมากกว่า น้อยกว่า
แล้วแต่กองที่เค้าเลือกลง
ป้าหวังว่า
คุณจะได้ไอเดียบ้างนะคะว่า
การลงทุนในกองทุนรวม คืออะไร?
แล้วคงพอจะเข้าใจตัวเองได้ว่า ถ้าหากคุณจะเลือกลงทุนในกองทุนรวมนี้ มันเป็นเพราะอะไร? และหวังที่สุด คือ คุณจะหาข้อมูลให้มากก่อนตัดสินใจลงทุนก็ขอฝาก FB Page ของพี่ชายสุดที่รักของป้า ... หมอนัท คลินิกกองทุน ... ไว้ให้ติดตาม หาข้อมูลความรู้เกี่ยวกับกองทุนก่อนตัดสินใจลงทุนด้วยค่ะ ^^
ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกันและอ่านบทความของป้านะคะ^^