Monday, May 1, 2017

มาวางแผนการเงินกันเถอะ 6 : เมื่อป้าอยากลงทุนในทองคำ

สวัสดีค่าาาาาา ท่านผู้อ่านที่รักทุกคนของป้าาาาาา ...  ไม่ได้คุยกันนานเลย คิถุ๊งงงคิถุงงง ><

วันนี้เป็น "วันแรงงาน" ล่ะตะเอง ... จริงๆไม่ใช่วันหยุดหรอกนะ แล้วช่วงนี้ป้าก็งานยุ่งมว๊าาาาาก แต่ก็รู้สึกอยากจะเขียนเรื่องนี้ขึ้นมาดื้อๆ ...สงสัยจะคิดถึงคนอ่านมาก  555+  เอาน่ะ... อย่าถือสาหาความป้าเลย ช่วงนี้สติไม่ค่อยดี อากาศมันร้อน

เอาล่ะ ...เรื่องการลงทุนในทองคำเนี่ยอ่ะนะ บอกเลยว่า ไม่ใช่กูรู  "และไม่เคยลงทุนจริงเลยสักครั้ง" !!!! ถามว่า ทำไม?  แหม่ ...ทองมัน บาทสองบาทไหมล่ะคุณ? ... ไอ้คนเงินเยอะอย่างป้า ( เบะปาก มองบน) เลยต้องคี้ดดดดดคิดแล้วก็คิดอีก

แต่ !!! ก็มีแรงบันดาลใจมาจากว่า ช่วงนี้น่ะ ข่าวสารโลก ก็เอะอะๆ เดี๋ยวประเทศนี้จะรบกัน ประเทศนั้นบอมบ์กัน  ประเทศนู้นเกลียดกัน อะไรต่อมิอะไร ซึ่งล้วนเป็นข่าวส่อแวว "ก่อสงคราม" ทั้งสิ้น

ซึ่งป้าเชื่อว่า คุณผู้อ่านทุกท่านก็คงจะทราบว่า  ในยามศึกสงครามนั้น  สินทรัพย์ (asset) ใด จะมีค่าไปกว่า "ทอง" ก็เห็นจะมีไม่  เหมือนสำนวนไทยที่ว่า "มีเงินเค้านับเป็นน้อง มีทองเค้านับเป็นพี่"

ทำไมยามสงคราม "ทอง" ถึงมีค่ามากงั้นหรอ? ... ตามที่ป้าศึกษาหาความรู้ และทำการพินิจพิจารณามาเนี่ยนะ  มันก็หลักง่ายๆล่ะ  พอยามสงคราม "เงิน นั้นคือกระดาษ" แต่ "ทอง  ไม่ว่าจะที่ไหน มันก็คือ ทอง" ... จะเอา "ทอง" ไปแลกปลาดิบ พี่ยุ่นก็รับ  เพราะพี่ยุ่นก็รู้จักทอง ...จะเอา "ทอง" ไปแลก "แอปเปิ้ล" พี่กันก็รับ  เพราะพี่กันก็รู้จัก "ทอง" ... แต่ถ้าหากเอา "เงินบาท" ไปแลกของพี่ๆเค้าล่ะก็  เกรงว่า ทั้งยุ่นทั้งกัน ก็คงจะเกาหัวแกรกๆ แล้วบอกว่า โอ้โน! เงินบาทของยู  มันก็เศษกระดาษ  และในยามศึกสงครามแบบนี้ ประเทศไหนเค้าค้าขายกันเป็นล่ำเป็นสันงั้นรึ?  แล้วจะ "กำหนดอันตราแลกเปลี่ยน" ค่าเงินกันอย่างไร?

นี่ล่ะ... เป็นที่มาของ "ความสนใจในการลงทุนในทอง" ของป้า ...

จากการศึกษาหาความรู้ ก็พบว่า ... อย่างแรก เราต้องเข้าใจก่อนว่า "ราคาทองคำ" นั้น
1. ขึ้น - ลง ตาม อุปสงค์ และ อุปทาน ตามหลักเศรษฐศาสตร์ทั่วไปนี่ล่ะ
2. ราคาทองคำในตลาดโลก เค้าซื้อขายกันเป็น ดอลล่าร์สหรัฐ (USD)

ดังนั้น ... ราคาทองคำในประเทศไทย จะขึ้นหรือลง นั้น ...ก็จะมีสาเหตุมาจากทั้ง 2 ปัจจัยข้างต้น

โดยเอาหัวข้อแรกก่อน ... อุปสงค์ และ อุปทาน
อุปสงค์ของทองคำ  ...จะเข้าใจได้ ก็ต้องดูว่า  มีใครเค้าซื้อทองกันมั่ง

1. คนทั่วไป ( ประมาณ 75% ของอุปสงค์ทั้งหมด)  : ซื้อในรูปแบบของอัญมณี  เอามาใส่เอง เอาไปให้คนอื่นเป็นของขวัญ หรือให้กันเป็นสิริมงคล เช่น เทศกาลตรุษจีน, รับขวัญเด็กเกิดใหม่ เป็นต้น

2. นักลงทุน ( ประมาณ 14% ของอุปสงค์ทั้งหมด)  :  ทองคำ  เป็นสินทรัพย์ที่ใครๆก็เรียกว่าเป็น การลงทุนที่ปลอดภัย ( Safe Haven ) เพราะ "มูลค่าที่แท้จริง" ไม่ได้ขึ้นอยู่กับภาวะเศรษฐกิจ  เพราะไม่ว่าภาวะเศรษฐกิจจะดีหรือร้าย  "แร่ทอง ก็คือ แร่ทอง" ทองแท้ย่อมไม่แพ้ไฟ แฮ่ !!!
- ไม่เหมือนกับ "หุ้น" ซึ่ง "มูลค่า" ลดลงได้หากพื้นฐานกิจการเปลี่ยนไปในทางไม่ดี
- "ตราสารหนี้" ซึ่ง "มูลค่าที่แท้จริง" ก็ผันผวนตามเศรษฐกิจเช่นกัน เพราะหากเศรษฐกิจไม่ดี ความเสี่ยงของตราสารหนี้ที่เพิ่มขึ้นทั้งในแง่ของปัจจัยภายนอและปัจจัยภายในตัวบริษัทเอง ก็จะทำให้ตราสารหนี้มี "มูลค่าลดลง)

3. อุตสาหกรรมอิเลคโทรนิกส์และเครื่องแพทย์ ( ประมาณ 11% ของอุปสงค์ทั้งหมด) :  ชิ้นส่วนบางชิ้นในอุปกรณ์อิเลคโทรนิคและเครื่องมือแพทย์นั้นทำมาจากทองคำ  ด้วยเหตุผลใด... ป้าขอละไว้เพื่อให้ศึกษาเอง เกรงจะยาวจนเกินไปและให้ข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง เพราะไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญด้าน "แร่" โดยตรง

แล้วอุปทานล่ะป้า?
อุปทาน ...ก็มาดูค่ะว่า  ใครกัน?ที่จะสามารถให้ Supply ทองคำกับตลาดได้  ก็ขออนุญาติแบ่งเป็น 3 พวกเช่นกัน

1. เหมืองทอง (ประมาณ 62% ของอุปทานทั้งหมด)  :  ตามนั้น .. อาชีพเค้า ...ก็ต้องขุดต้องร่อนต้องทำออกมาขายโนะ  แต่แน่นอน  แร่ทองมันมีปริมาณจำกัด และอาศัยเวลานานกว่าจะเป็นทองคำได้

2. คนทั่วไป ( ประมาณ 16% ของอุปทานทั้งหมด)  :  เหตุผลที่ขายก็มีหลากหลาย  ฝืดเคือง ตึ๊ง เห็นราคาดี อัลไรก็ว่ากันไปนาคระ

3. นักลงทุน / ธนาคารกลาง (ประมาณ 22% ; ป้าคำนวณเองนะ แหล่งที่มาข้อมูลเค้าให้ตัวเลขมาแค่ 2 อันบน .. ดังนั้น ที่เหลือก็ของกลุ่มนี้เค้าล่ะ ) :  ใช่ค่ะ ... ธนาคารกลาง เองก็นับเป็น "นักลงทุน" ประเภทหนึ่ง เพราะ ธนาคารกลางของประเทศต่างๆ จะเก็บสำรอง "ทองคำ" เอาไว้เป็นส่วนหนึ่งของ "ทุนสำรองระหว่างประเทศ" เพื่อรักษาเสถียรภาพทางการเงินของประเทศและเป็นการกระจายความเสี่ยง

อย่างไรก็ตาม... ถึงแม้ อุปสงค์ และ อุปทาน จะมาจากหลากหลายกลุ่ม .. แต่สาเหตุใหญ่ของราคาทองคำที่เปลี่ยนแปลงไปก็มาจาก "ภาวะเศรษฐกิจ" เป็นหลักค่ะ

อ้าว! อิป้า! ไหนบอก  ทอง คือ ทอง ...ไม่หวั่นไหวต่อ ภาวะเศรษฐกิจ ไง .... ใช่ค่ะคุณขา !!!  ที่ไม่หวั่นไหวน่ะ ป้าหมายถึง "มูลค่าที่แท้จริง" ... แต่"ราคา" มันก็อีกเรื่องนะคะ !!!!

ลองนึกภาพตามนะคะ ...  สมมติเรามีทองคำอยู่ 1 บาท ...ทองคำหนัก 1 บาท ก็คือ ทองคำหนัก 1 บาท ถูกไหม? ... ไม่ว่าจะ "ร้านทอง" หรือ "โรงรับจำนำ" ชั่งน้ำหนักทองชิ้นนี้ ก็คือ ทองคำ 1 บาท ...ใจน่ะ อยากเก็บไว้เป็นขวัญถุง เป็นสิริมลงคล .. แต่ !!! นี่มันจะเปิดเทอมแล้ว ค่าเทอมลูกไม่มี !!! ( เปรียบเทียบได้กับภาวะเศรษฐกิจที่ไม่ดี)  ทำไงคะ? ...ตึง ตึ่ง ตึ้ง ตึ๊ง ตึ๋ง ใช่ไหมคือทางออก? ... ทองที่ร้านทอง ยังคงขายกันราคาบาทละ 20,000 นั่นล่ะ แต่ตัดภาพกลับมาที่เรา เอาไปตึ๊งได้ราคาไม่ถึง 20,000 แน่ ... นั่นแหละ ... มูลค่าของทอง  ยังคงเดิม ...ทองคำหนัก 1 บาทคือ ทองคำหนัก 1 บาท... แต่ "ราคา" มันต่างกันแล้วล่ะระหว่างทองที่ร้านทอง และ ทองที่โรงรับจำนำ :)

ดังนั้น ... โดยพื้นฐานแล้ว ... เข้าใจตรงกันนะคะว่า "ราคาทองคำ" นั้นขึ้นกับ "ภาวะเศรษฐกิจเป็นหลัก" ... เพราะในช่วงที่เศรษฐกิจดี  เงินทองมันสะพัด ...คนทั่วไป (ซึ่งเป็นที่มาของ อุปสงค์ ส่วนใหญ่ ) ก็มีเงิน สามารถซื้อหา "ทองคำ" ได้ตามความอยากทั้งซื้อมาใส่เอง หรือซื้อมาเป็นของขวัญ ... อ่ะปีนี้เศรษฐกิจดี เซ็งลี้ฮ๋อ รับขวัญหลานก็สร้อยข้อเท้าเส้นใหญ่หน่อย ( น้ำหนักทองเพิ่มขึ้นหรอ? เปล่า? ทองโป่ง แฮ่!!!)

เมื่อความต้องการมันเพิ่มขึ้น ในขณะที่ "อุปทาน" เพิ่มไม่เร็วเท่า ... ก็ทำให้ "ราคาทองคำ" สูงขึ้น ... ตามหลักเศรษฐศาสตร์ธรรมดานะคะ

แต่อย่างไรก็ตาม ...เมื่อเศรษฐกิจไม่ดี ... นั่นงะ ตามตัวอย่างข้างบนเล้ย ...ก็จะมีคนเอาทองออกมาขาย...ถ้าขายมาก .. "อุปทาน" มีมากกว่า "ความต้องการในตลาด" แน่นอน ..."ราคาทองคำ" มันก็ลดลง

ทีนี้ ... ถ้ามองในแง่การลงทุนแล้ว ... เนื่องจาก "ทองคำ" ไม่ได้ให้ผลตอบแทนในรูปของ "เงินปันผล" หรือ "ดอกเบี้ย" และ ราคาก็ผันผวนน้อย ..ดังนั้น ในยามเศรษฐกิจดี  นักลงทุน จะลงทุนในทองคำเพื่อเป็น "การกระจายความเสี่ยง" เท่านั้น ... ทำให้ความต้องการในทองคำ จะมี "มาก"ก็ต่อเมื่อในยามที่"เศรษฐกิจไม่ดี" หุ้นไม่น่าสนใจ  ตราสารหนี้มีความเสี่ยงสูง หรือ "ภาวะสงคราม"

อย่างไรก็ตาม ...ที่ป้าเล่าให้ฟังด้านบนนั้น เป็นพื้นฐาน / Base Case เพราะในปัจจุบัน "ราคาทองคำ" มี"ความผันผวนมากขึ้น" เนื่องจากมีนักลงทุนหลายกลุ่มนั้นลงทุนแบบ "เก็งกำไร" ทำให้ราคาทองคำ ไม่ได้ถูกกำหนดโดยอุปสงค์อุปทานที่เกิดจากภาวะเศรษฐกิจเป็นหลักอีกต่อไป

นอกจากนี้ ... ยังจำได้ไหมคะ อย่างที่ป้าเล่าให้ฟังในข้างต้น ... เพราะ "ราคาทองคำในตลาดโลก" นั้นซื้อขายกันเป็น  USD จึงทำให้ "ราคาทองคำในประเทศไทย" นั้น ไม่ได้มีปัจจัยมาจากอุปสงค์และอุปทานอย่างเดียว แต่ยังมีปัจจัยเรื่องของ "ค่าเงิน" เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย

หลักเศรษฐศาสตร์อีกเช่นเคย ... ถ้าค่าเงินบาทอ่อนลงเมื่อเทียบกับดอลล่าร์ ก็ทำให้ 1 ดอลล่าร์ มีมูลค่าเป็น บาทที่มากขึ้น ..ดังนั้น  ถ้าหาก "ราคาทองคำในตลาดโลก ไม่เปลี่ยน"  แต่ "ค่าเงินบาทอ่อนเมื่อเทียบกับดอลล่าร์" ==> ราคาทองทำในประเทศไทยจะปรับตัวสูงขึ้น

ในปัจจัยเรื่องค่าเงินนี้ ก็มีตัวอย่างน่าสนใจกล่าวไว้ในหนังสือ "หลักสูตรการวางแผนการเงิน ชุดวิชาที่ 2 ของ TSI" ก็คือว่า ในช่วงวิกฤติต้มยำกุ้งที่เงินบาทลอยตัวนั้น  ขณะนั้น "ราคาทองคำในตลาดโลก" ไม่ได้เปลี่ยนแปลงมากนัก  แต่ "ค่าเงินบาทเมื่อเทียบกับดอลล่าร์สหรัฐแล้วอ่อนค่าลงมาก"  ทำให้ผู้ที่ลงทุนในทองคำในเวลานั้นได้กำไรอย่างเป็นกอบเป็นกำ

ถ้าหากคุณอ่านมาถึงตรงนี้ ... คุณก็คงรู้แล้วว่า ถ้าหากคุณจะลงทุนใน "ทองคำ"  นอกจาก "ความรู้ด้านเศรษฐกิจโลก" แล้ว คุณก็ยังต้องมีความรู้เรื่อง "อัตราแลกเปลี่ยน" อีกด้วยนะคะ

อย่างไรก็ตาม... ปัจจัยที่มีผลกระทบด้านราคานั้น เป็นปัจจัยที่คงอยู่เพียง "ระยะสั้น" เพราะฉะน้น หากลงทุน "ระยะยาว" ป้าคิดว่า  "ทองคำ" ยังคงเป็นอะไรที่น่าสนใจอยู่ดี  เพราะนอกจากจะช่วย "กระจายความเสี่ยง" แล้ว  ก็ยังเหมือนกับ "การลงทุนในต่างประเทศทางอ้อม" อีกด้วย  เพราะราคาทองคำในตลาดโลกนั้นผูกกับ USD ...แต่มันก็แลกด้วย "ค่าเสียโอกาส"ในการได้ผลตอบแทนที่สูงกว่าจากการลงทุนประเภทอื่นค่ะ

เอาล่ะ ... เมื่อทำความเข้าใจกับเรื่องของการลงทุนในทองคำแบบคร่าวๆแล้ว .. ไหนมาลองดูซิว่า  ถ้าหากป้า "ซื้อ" ทองคำตั้งแต่วันที่เริ่มมีข่าวสงครามส่อเค้า แล้วถือมาจนถึงวันนี้จะเป็นอย่างไร

ป้าไม่ได้ซื้อจริงหรอกค่ะ ...แต่อาศัย ติดตามราคาทองจาก website : Gold Trader Association ก็จะสามารถทำให้เห็นภาพคร่าวๆได้ว่า  ถ้าเอาเงินลงไปจริงๆจะเป็นอย่างไร :)




วันแรกที่ป้ารู้สึกอยากจะซื้อ คือ วันที่ 12 เมษายน ซึ่งเป็นวันทำการวันสุดท้าย ก่อนเราจะปิดสงกรานต์กันยาวถึงวันที่ 18 ...  ถ้าไล่ดู ก็จะเห็นได้ว่า  ราคาทอง ดีดตัวสูงขึ้นในวันที่ 18 ... ถ้าดูที่ "ทองคำแท่ง" ขา "ขายออก" จะเห็น ราคาเพิ่มสูงขึ้นจาก 20,800 ในวันที่ 12 เป็น 20,950 ในวันที่ 18
น่าสนใจมาก  เพราะว่าในช่วงดังกล่าว มีข่าวที่ทั่วโลกต่างให้ความสนใจคือ สหรัฐฯ บอมบ์ซีเรีย และเกาหลีเหนือซ้อมรบ ออกมาเป็นระลอกๆ

อย่างไรก็ตาม .. ราคาทองคำก็ได้ลดลงในวันที่ 20 มาอยู่ที่ 20,850 บาท และในวันนี้ก็มาอยู่ที่ 20,750 บาท

ซึ่งถ้าเราพิจารณาในเรื่อง ความผันผวนของราคาทองคำเมื่อเทียบกับหุ้นแล้ว ... สำหรับป้าคิดว่า มันผันผวนน้อยกว่ามาก  เพราะหุ้นสามารถขึ้นลงวันนึงได้มากถึงหลายสิบเปอร์เซ็นต์ได้ แต่ทองคำแกว่งไปมา ถ้าดูในกรอบเวลาครึ่งเดือนนี้ ( 12/04 - 01/05) ก็ไม่ถึง 1% ด้วยซ้ำ

ดังนั้น สรุปประสบการณ์ ... ถ้าหากป้าเอาเงินไปซื้อทองจริงๆในวันที่ 12 แล้วถือมาจนวันนี้ ... จะทำให้ป้า "ขาดทุน" จำนวน 50 บาท ... ซึ่งมันวัดอะไรไม่ได้หรอก  เพราะ Holding Period ( ระยะเวลาการถือครอง) มันสั้นเกินไป

แต่ถ้าหากลองพิจารณาดูกราฟด้านล่างของตารางราคา ... จะพบว่า ถ้าย้อนหลังไป 1 ปี .. ราคาทองคำเคยขึ้นไปสูงถึง 22,900 บาท

ซึ่งก็ขอบอกตรงนี้เลยว่า...ที่เอามาแปะให้ดูนี่มันก็ยังบอกอะไรไม่ได้หรอกนะ ...เพราะยังต้องหาความรู้ต่อ และต้องจับตาดูต่อเพื่อเรียนรู้  ก่อนจะ "ลงทุนจริงๆ" เพราะเมื่อเงินมันหลุดจากกระเป๋าคุณไปแล้ว มันก็เป็นเงินของคนอื่นนาจา
ไอ้ครั้นจะหวังถึง "ปันผล" หรือ "ดอกเบี้ย" นั้นก็ไม่มี ==> เสียโอกาสการลงทุน
แล้วถ้าเงินไม่เย็นจริง แล้วดันซวยเกิดราคาทองมันตกลงมา ... ก็ต้องมานั่งลุ้นตุ้มๆต่อมๆ เมือไหร่มันจะขึ้นๆ หรือที่เค้าเรียกกันว่า "ติดดอย" นั่นล่ะ

และสุดท้ายแต่ไม่ท้ายสุด ... ในโลกของการลงทุนไม่ได้มีแต่เรื่องของเหตุและผล  "จิตวิทยา" และ "พฤติกรรมมนุษย์" เป็นสิ่งที่เป็นปัจจัยสำคัญด้วยเช่นกัน :)

วันนี้เอาเรื่อง "การลงทุนในทองคำ" มาแบ่งปันคร่าวๆให้ฟังนาคระ ... หวังว่า มันจะมีประโยชน์บ้าง  หรืออย่างน้อยก็ช่วยทำให้คุณเห็นภาพในเรื่องการลงทุนในทองคำมากขึ้น และสามารถนำไปต่อยอดหาความรู้และประสบการณ์ได้ต่อไปค่ะ^^

ขอบคุณที่อ่านมาถึงตรงนี้นะคะ

God Bless You,
ngee











Tuesday, March 21, 2017

มาวางแผนการเงินกันเถอะ 5 : อย่าตกใจเมื่อคุณเห็นตัวเลขสูงๆ


 
 
 

Sunday, February 12, 2017

มาวางแผนการเงินกันเถอะ 4


สวัสดีค่า ^^ ไม่เจอกันนานเลยน๊า ... ขอโทษทีพอดีช่วงที่ผ่านมายุ่งมวาก >< แถมมีเหตุ Unplan มากมาย  แต่ !!!  อย่าไปสนใจเลย  มาเข้าเรื่องของเราดีกว่า J
วันนี้ ... ป้าจะมาต่อเรื่อง “การวางแผนการเงินส่วนบุคคล” นะคะ ซึ่งตอนนี้ก็เป็นตอนที่ 4 แล้ว ( และคาดว่าน่าจะมีอีกหลายตอนทีเดียวล่ะ  555+  อย่าพึ่งเบื่อกันซะก่อนล่ะ)  ท่อนนี้ก็ยังคงอยู่ในเรื่องของ “การลงทุน”... แน่นอนค่ะ  คนเรา มีเงินเหลือแล้ว ก็ควรนำมา “ลงทุน” ให้ออกดอกออกผล อาจจะเพื่อใช้จ่ายในอนาคต หรือ เพื่อป้องกันการเสื่อมค่าของเงินอันเนื่องมาจากอัตราเงินเฟ้อ @_@ 

คราวที่แล้ว ...ป้าพูดถึงเรื่อง “การลงทุนในหุ้น” ... วันนี้ก็จะมาเล่าเรื่องของ “การลงทุนในกองทุน”  หรือ “กองทุนรวม” ที่เค้าเรียกๆกันนั่นแหละ ... บอกกันตามตรงเลย คือ ป้าเนี่ย ไม่ถนัดกองทุนมากๆ ... แต่จะเล่าให้ฟังแบบง่ายๆ ที่คิดว่า คนอ่าน น่าจะนำไปพิจารณาต่อยอดตัดสินใจได้นะคะ
คำถามเบสิค  กองทุนคืออะไร? ...กองทุน ก็คือ การเอา “ทุน” มา “กองรวม” กัน ... เอออ จริงๆ  มันคือแบบนั้นจริงๆ ...เอาเงินของหลายๆคนมารวมกัน แล้วก็นำไปลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ ...โดย “กองทุนรวม” ก็จะถูกซอยย่อยออกมาเป็น “หน่วย” หรือ “ยูนิต” เพื่อให้นักลงทุน หรือ คนที่มีเงินเหลือๆอย่างเรา ( หึ!!!) ได้เข้าไปซื้อเพื่อ “ลงทุน” ค่ะ

 ซึ่งการลงทุนในกองทุนรวม ก็คือ การเอาเงินไปให้ “มืออาชีพ” หรือ “ผู้จัดการกองทุน” เค้าบริหารแทนเราค่ะ   เช่น   เราไม่ถนัดหุ้น ไม่รู้จะซื้อหุ้นตัวไหน จังหวะไหนดี ไม่เป็นอ่ะ  แต่อยากลงทุนในหุ้น  อยากได้ผลตอบแทนจากการลงทุนสูงๆแบบการลงทุนในหุ้น...เอาเลยค่ะ  คุณมาถูกทางแล้ว ... จัดไปที่ถูกใจซักกองนะคะ  นอกจากนี้  กองทุนรวม ก็เป็นทางเลือกให้นักลงทุน สามารถลงทุนในสินทรัพย์ที่เราไม่สามารถลงทุนเองได้  เช่น พันธบัตรรัฐบาล, หุ้นกู้ไซส์ใหญ่ๆ, โครงสร้างพื้นฐานของต่างประเทศ ฯลฯ  โดยจะเลือกกองไหนก็สามารถหาข้อมูลเพิ่มเติมได้หลายแหล่งค่ะ  เช่น  wealthmagik.com , morningstarthailand.com , หรือจะ google หาก็สามารถทำได้ไม่ผิดอะไรนะคะ ^^

โดยประเด็นที่คุณควรพิจารณาให้ดีก่อนจะตัดสินใจเลือกการลงทุนในกองทุน คือ
1.       คุณได้มีการจัดสรรเงินอย่างดีแล้ว  คือ ได้กันเงินส่วนที่ต้องใช้ในชีวิตประจำวัน และ เผื่อสำรองฉุกเฉินไว้แล้ว
2.       ตอบตัวเองให้แน่ว่า  คุณจะลงทุนในกองทุนเนี่ย  คุณต้องการอะไร  เช่น  ต้องการเงินปันผลเพื่อใช้ในชีวิตประจำวัน ,  ต้องการลงไว้ให้งอกเงยเผื่อใช้ในอนาคต ระยะสั้น ระยะยาว เอาให้แน่
3.       เงินก้อนนี้คุณยอมรับความเสี่ยงได้แค่ไหน?

 การลงทุนในกองทุน  ก็คือ การลงทุนนั่นแหละค่ะ  มีความเสี่ยงเหมือนการลงทุนทั่วไปทุกประการ   เพียงแต่ว่า คุณนำเงินไปให้คนที่คุณคิดว่าเค้าเป็นมืออาชีพลงทุนแทนคุณ  ...ดังนั้น  ถ้าหากตอบตัวเองใน 3 ข้อข้างบนได้แน่แล้ว ชัดเจนแล้ว  ก็สามารถตกลงใจพิจารณาการลงทุนในกองทุนเป็น Step ต่อไปได้ค่ะ

เรื่องที่จะเล่าต่อก็คือ ...กองทุน มันมีหลายประเภท มีทั้งแบบที่ลงทุนในตราสารประเภทเดียว  คือ หนี้ก็หนี้อย่างเดียว,  หุ้นก็หุ้นอย่างเดียว  และมีทั้งแบบ “ผสม” เช่น  หนี้ผสมหุ้น, หุ้นผสมน้ำมัน, น้ำมันผสมทอง ...ก็ว่ากันไป  มีเยอะแยะเชียวคุณขา หาได้ตาม Website ข้างบนนั้นแล

ทีนี้เบสิคที่ต้องเข้าใจ คือ  ตามหลักแล้ว ตราสารหนี้ ถือเป็น สินทรัพย์ทางการเงินที่เสี่ยงน้อยกว่า หุ้น เพราะเมื่อบริษัททำมาหาได้มีกำไร ... ต้องนำมาจ่าย “ดอกเบี้ย” ก่อน   เหลือจากนั้น  ถึงสามารถ “ปันผล” ได้ค่ะ ... และ Worst Case เมื่อเกิดเหตุต้องปิดกิจการล่มสลาย ... เจ้าหนี้  มีสิทธิ์เคลมผลประโยชน์ที่ได้จากการขายสินทรัพย์ ก่อน เจ้าของ
และอีกประการคือ  คุณต้องรู้ว่า ทอง, น้ำมัน, อัตราแลกเปลี่ยน ...สิ่งเหล่านี้เป็นตราสารที่ “เข้าใจยาก” และการเคลื่อนไหวของราคามี “ความซับซ้อน” มาก ... ดังนั้น   ถ้าคุณสนใจพวก กองทอง หรือ กองน้ำมัน  ... ป้าแนะนำว่า  หาข้อมูลให้ดีมากๆก่อนการตัดสินใจลงทุนนะคะ

โดยรายละเอียดของแต่ละกองนั้น  เค้าจะมีเปิดเผยอยู่แล้วค่ะใน “หนังสือชี้ชวนลงทุน” .. คุณจำเป็นต้องเข้าไป “อ่าน”และ “ศึกษาให้ละเอียด” นะคะว่า เค้าเอาเงินของเราไปลงทุนในอะไรบ้าง, เงื่อนไขการเอาเงินไปลงในสินทรัพย์ตัวไหนเป็นยังไงบ้าง, ในระหว่างทางเค้าสามารถตัดสินใจเปลี่ยนแปลงอะไรได้บ้าง ... โดยประเด็นที่คุณควรให้ความสนใจมากๆ คือเรื่องของ “ค่าใช้จ่าย” หรือ “ค่า Fees”  ซึ่งเค้าจะเรียกเก็บจากเราเป็น ค่าบริหารเงินให้  ...สิ่งเหล่านี้ต้องพิจารณาให้ดี
นอกจากนี้ ...ในระหว่างที่คุณลงทุนไปแล้ว ก็อย่าละเลยค่ะ...กรุณาหมั่นติดตาม “ผลการดำเนินงาน” หรือเค้าเรียกว่า “Fund Fact Sheet  ซึ่ง กองทุนที่คุณลงไปนั้นน่ะ  เค้าจะส่งมาให้คุณเป็นประจำทุกๆเดือนอยู่แล้ว  อาจจะทาง “จดหมาย” หรือ e-mail ตามแต่คุณระบุไว้ตอนซื้อหน่วยลงทุน

ทีนี้มาถึงประเด็นใหญ่ ...  “ราคาซื้อ ขาย” ... มูลค่า หรือ ราคาหน่วย ของกองทุนเนี่ยอ่ะค่ะ  เค้าจะเรียกเป็น  NAV” หรือ Net Asset Value … หลักการก็เหมือน “ราคาหุ้น” แหละค่ะ มันก็มีวิ่งขึ้นวิ่งลง ... และเค้าจะคิดคำนวณกันทุกๆสิ้นวัน  โดยเอามูลค่าทรัพย์สินสุทธิ / จำนวนหน่วยลงทุน ‘-_-!   ( งงดิ...เอออ ป้าก็งง)

เอาคำว่า “มูลค่าทรัพย์สิน” ก่อนนะคะ ...ยกตัวอย่างง่ายๆ ...สมมติ  กองที่เราลงเป็น “กองหุ้น” นะ ...มูลค่าทรัพย์สิน ก็คือ “ราคาปิดหุ้น ณ วันนั้น” คูณด้วย “จำนวนหุ้น” ที่กองมีไว้ในครอบครอง  และ มูลค่าทรัพย์สิน “สุทธิ”  คือ  มูลค่าทรัพย์สิน ค่าใช้จ่ายกองทุน นั่นเอง ^^

ต่อมา ... คนลงทุนทุกคน ก็ต้องการ “ผลตอบแทน” โนะ... ผลตอบแทนของ “กองทุน” ก็คล้ายๆกับ หุ้น นั่นแหละค่ะ ... มี 2 แบบหลักๆ คือ ปันผล กับ ส่วนต่างราคาระหว่างตอนซื้อกับตอนขาย ... อันนี้ต้องดูให้ดีนะคะ  เพราะถ้าสมมติ  เราอยากกิน “ปันผล”  เราก็ต้องเลือกกองที่มีการ “จ่ายปันผล”  เพราะหลายๆกองเค้า “ไม่จ่ายปันผล” แต่จะนำผลตอบแทนที่ได้จากการลงทุนใส่กลับมาในกองแล้วเพิ่มพูนมูลค่า ส่งผลเป็น NAV ที่สูงขึ้นแทน (  โปรดฟังอีกครั้งหนึ่ง :  การที่ NAV สูงขึ้น  มันก็จะทำให้ส่วนต่างราคาระหว่างตอนซื้อกับตอนขายมากขึ้น ชดเชย การที่เราไม่ได้ “ปันผล” นั้นไป )

ส่วนตัวป้า ... ลองลงใน “กองทุน” ดูบ้าง ก็พบว่า ไม่ถูกจริต เท่าไหร่ เพราะอ่าน Fund Fact Sheet ไม่เข้าใจค่ะ ...มันคลุมเครือ ... ยกตัวอย่างเช่น  กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานต่างประเทศ ... ป้าลองลงไป ... พยายามหาข้อมูล อ้าวเห้ย ! มันบอก มันลงอิงกับ “กองแม่” ... หา!!!  กองแม่!!! …  โอเค ได้  งั้นกุดูต่อก็ด๊ายยย กองแม่เนี่ยมันกองไหน ... ก็ไปหา  ...พอหาเจอปุ๊บ ...ตาย  ha!!  มันก็ไม่บอกอี๊กกกกกก ว่ามันลงในอะไรบ๊างงงงงง ... เดือดร้อนต้องไปปรึกษากูรู  พี่หมอนัท คลินิกกองทุน (https://www.facebook.com/fundclinic/) ... เฮียคะ กองเนี้ยะ มันลงในไหนบ้าง ...เฮียแกก็แนะนำวิธีดูมา ... แต่ป้าบอกเลยนะ ทุกวันนี้ก็ยังไม่ได้ดูเลย  เพราะมันตามดูยาก... แล้วก็ ขายหน่วยทิ้งไปละด้วย 555+ 

ทั้งนี้ทั้งนั้น ...ข้อดีที่อยากบอกคือ  ถ้าคุณไม่ได้มีความรู้ความเข้าใจในการลงทุนมากนัก ... การซื้อกองทุนรวม  เป็น  Option ที่ดีนะคะ ...  ป้าเชื่อว่า กองที่ให้รายละเอียดชัดเจนว่า ลงทุนไปตรงไหนบ้าง มันก็มีอยู่แหละ  แค่รายละเอียดมันจะมากมากมากมากมากหน่อย  ก็ต้องอ่านมันเข้าไปค่ะ  เพราะนั่นมันเงินของคุณ !!!  ... แต่อย่างไรก็ตาม  ถ้าคุณเลือก สถาบันการเงิน ที่น่าเชื่อถือ และศึกษาข้อมูลให้มาก ...Option นี้  เป็น  Option ที่ค่อนข้างปลอดภัย และให้ผลตอบแทนที่ค่อนข้างดีกว่าเงินฝากค่ะ

ท้ายสุด ... อีกข้อที่ต้องทราบ คือ กองทุนรวม สามารถแบ่งหลักๆได้เป็น 2 แบบ คือ กองทุนปิด และ กองทุนเปิด i_i  ( อะไร ... ปิดๆเปิดๆ อะไรของเมิงฟระ ) คืองิ อย่างที่บอก กองทุน จะซอยขายเป็นหน่วยย่อยๆ โนะ ... ทีนี้ กองทุนปิด ก็คือ ซอยทีเดียว จำนวนเท่าไหนเท่านั้น เช่น ซอยออกมามี 100 หน่วย แล้วออกขาย  หมดแล้วหมดเลย ไม่ออกหน่วยใหม่ๆให้คนที่ซื้อไม่ทัน... นอกจากนี้  มันก็จะไม่รับซื้อคืนหรือรับไถ่ถอนก่อนถึงเวลาครบอายุด้วย ... ส่วนกองทุนเปิด  ก็คือ กองที่มันเปิดขายหน่วยลงทุนใหม่ๆตลอดเวลา  ... แต่ไม่ว่าจะ “กองปิด” หรือ “กองเปิด”  คุณก็สามารถซื้อขายได้ตลอดแหละค่ะ เพราะอย่างเช่นหน่วยลงทุนของกองทุนปิด  มันก็มี  “ตลาดรอง” คือ ตลาดหลักทรัพย์ฯ  ให้คุณได้เอามาซื้อเอามาขายได้   (https://www.one-asset.com/?p=2727) 

สรุปผลตอบแทนจากการลงทุนในกองทุนรวมจากประสบการณ์ของป้า
-           กองทุนรวมตราสารหนี้ระยะสั้นเจ้าหนึ่ง  เป็นเจ้าดัง  ...  0.4% ใน  5 เดือน  ( ฝากประจำมะ? ถ้าจะผลตอบแทนแบบนี้?)
-          กองทุนรวมตราสารหนี้ต่างประเทศเจ้าหนึ่ง .... 1% ใน 4 เดือน  ( ดูดีนะ .. แต่รีบขายออกก่อน เพราะ Fed มีแนวโน้มขึ้นดอกเบี้ย ... ซึ่งถ้า ดอกเบี้ยนโยบายขึ้น จะส่งผลกระทบให้ ราคาตราสารหนี้ที่อยู่ในตลาดลดลง ( ไว้วันหลังจะมาเล่าให้ฟังนะว่ามันเกี่ยวกันยังไง )... และถ้าหากราคาตราสารหนี้ลดลง จะทำให้ “มูลค่าสินทรัพย์” ของหน่วยลงทุนลดลง  NAV  จะลด ... ก็ต้อง ขายออกไปก่อนนะครัช ^^)
-          กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานต่างประเทศ ... 4% ใน 4 เดือน ( ดูดีมากแหละ... แต่ขายออกไปก่อน  กลัวความอ่อนไหวของเศรษฐกิจ และเป็นความอ่อนไหวของตัวป้าเองด้วย  แอร๊ยยยยยย  >< )

สุดท้ายนี้ ( ท้ายจริงๆละ)  ... อย่างที่บอกแต่แรกนะคะ  ... ป้าไม่ได้เชี่ยวชาญทางด้านการลงทุนกองทุนรวม  ดังนั้น   บทความนี้จะเป็นอะไรที่ผิวมากๆ  และมีผลตอบแทนจากการลงทุนจริงของป้ามาเล่าให้ฟัง  แต่ไม่ได้หมายความว่า คนอื่นจะได้ผลตอบแทนแบบเดียวกับป้านะ  อาจจะมากกว่า น้อยกว่า   แล้วแต่กองที่เค้าเลือกลง
ป้าหวังว่า  คุณจะได้ไอเดียบ้างนะคะว่า  การลงทุนในกองทุนรวม คืออะไร?  แล้วคงพอจะเข้าใจตัวเองได้ว่า ถ้าหากคุณจะเลือกลงทุนในกองทุนรวมนี้ มันเป็นเพราะอะไร?  และหวังที่สุด คือ  คุณจะหาข้อมูลให้มากก่อนตัดสินใจลงทุน
ก็ขอฝาก  FB Page  ของพี่ชายสุดที่รักของป้า ... หมอนัท คลินิกกองทุน ...  ไว้ให้ติดตาม หาข้อมูลความรู้เกี่ยวกับกองทุนก่อนตัดสินใจลงทุนด้วยค่ะ ^^


ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกันและอ่านบทความของป้านะคะ^^