Tuesday, October 11, 2016

มาวางแผนการเงินกันเถอะ 3

สวัสดีค่าาาาาาา  ป้าหงีคนเดิมเพิ่มเติมคือความเสียสติ มารายงานตัวค่าาาาาาา

หลังจากที่ตลาดหุ้นร่วงลงเละติดต่อกันเป็นเวลา 2 วันแบบไม่ให้พักหายใจหายคอ ... ป้าก็ได้รู้สึกอึนๆ มึนๆ เสียสติเป็นบางเวลา ... ว่ากันไปตามสภาพนะคะ^^

วันนี้ก็ตามเคยค่ะ จะมาเล่าเรื่อง "การวางแผนการเงินส่วนบุคคล" กันต่อ ... เรายังคงอยู่ในส่วนของ "การลงทุน" นะคะ  ซึ่งโพสต์ที่แล้ว ป้าเล่าเรื่อง "หุ้นกู้" ไปแล้ว ... สำหรับใครที่สนใจ ก็เชิญนะคะ "มาวางแผนการเงินกันเถอะ 2" ตามไปเยี่ยมชมกันได้

เข้าธีมกับความเสียสติของป้า ... โพสต์นี้ป้าจะมาเล่าเรื่องการลงทุนในสินทรัพย์ทางการเงินตัวที่ป้าชอบที่สุด นั่นก็คือ "หุ้น" ค่ะ :)

คุณขา ... ก่อนอื่น คุณต้องเข้าใจนะคะว่า สินทรัพย์ทางการเงินที่คุณจะสามารถนำเงินของคุณไปลงทุนแล้วทำให้งอกเงยได้นั้นมี 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ  ประเภทหนี้สิน ( คุณเป็นเจ้าหนี้ เอาเงินไปให้เค้ากู้) และ ประเภทส่วนของทุน (คุณเอาเงินไปร่วมทำธุรกิจกับเค้า)    

"หุ้น" เป็น สินทรัพย์ทางการเงินประเภท "ส่วนของทุน" ซึ่งก็คือ การที่คุณนำเงินไปร่วมทำธุรกิจกับเค้า

โปรดฟังอีกครั้งหนึ่ง ... คุณ  นำเงินไป "ร่วมทำธุรกิจกับเค้า" ....

หลายๆคน คงเคยได้ยินได้ฟังกันมาบ้างว่า ... การลงทุนในหุ้น หรือ คนชอบเรียกว่า"เล่นหุ้น" ( ซึ่งป้าไม่ชอบคำว่า "เล่นหุ้น" นะคะ ... การลงทุนในหุ้น ไม่ใช่ "การพนัน" ค่ะ.. ถ้าคุณเห็นมันเป็นการพนัน ป้าว่า เชิญที่บ่อนค่ะ  เร็วกว่า ปวดหัวน้อยกว่า แทงสูงแทงต่ำ แทงดำแทงแดง กันไปเลย  ไม่ต้องปวดหัวดูกราฟ หรืออ่านรีเสิร์ชให้ตาลาย ... อุตะ บ่นเยอะ '-_-!)  ค่ะ  ... มันมี 2 แนวทางหลักๆ คือ  การลงทุนโดยดูปัจจัยพื้นฐาน (Fundamental) และ การลงทุนโดยดูปัจจัยทางเทคนิค ( Techinical )  ซึ่งอย่างหลังเนี่ย... ป้าไม่เชี่ยวชาญ  และได้ทดลองมากับตัวแล้วก็พบว่า ไม่ถูกกับจริตของป้า จึงจะขอละไว้ ไม่ให้รายละเอียดนะคะ ^^

ในส่วนของ "การลงทุนโดยดูปัจจัยพื้นฐาน" ... อย่างที่บอก คุณกำลังเอาเงินไปร่วมทำธุรกิจกับเค้า ... ไม่ต้องคิดอะไรลึกค่ะ ... เหมือนคุณเอาเงินไปลงทุนทำร้านก๋วยเตี๋ยว  คุณหวังอะไรคะ?  กำไรใช่ไหม? ... ฉันใดก็ฉันนั้น  คุณเอาเงินไปซื้อ "หุ้น"  คุณกำลังเอาเงินไป "ร่วมทำธุรกิจ" ดังนั้น ผลตอบแทนที่คาดหวังหลักๆ มันก็ควรจะมาจากดอกผลที่งอกเงยจากการทำธุรกิจ หรือก็คือ "กำไร" ซึ่งจะถูกจ่ายออกมาจากบริษัท มาถึงคุณในรูปของ "เงินปันผล" ค่ะ

จริงอยู่ ... หลายๆท่าน อาจจะมองถึงเรื่อง "ส่วนต่างราคา" ซึ่งอันนี้ป้าก็ต้องเรียนว่า มันเป็น "ผลพลอยได้" นะคะ ... จะเปรียบเทียบไป มันก็เหมือนร้านก๋วยเตี๋ยวร้านนั้นอ่ะค่ะ .. สมมติ คุณขายดี มีคนมาขอซื้อ "ร้าน" ... คุณลองถามใจตัวเองดู  คุณจะขายไหมคะ? ... ไม่ถูกไม่ผิดนะคะ  แต่ถ้าคุณเลือก "ขาย" ... ป้าก็อยากจะให้คุณลองคิดให้ดีค่ะ  คุณขายไป  ได้เงินมา 1 ก้อน ... อาจจะกำไรมากโขอยู่ ... คำถามคือ  "แล้วไงต่อ?"

คุณจะเอาเงินที่ได้จากการขายร้านก๋วยเตี๋ยวไปทำอะไรต่อคะ?  ลงทุนธุรกิจใหม่? หรือจะเลิกทำงานแล้วใช้เงินที่ได้มาจากการขายร้านให้มันหมดๆไป?  :)  พอจะเห็นภาพอะไรไหมคะ?

ดร.นิเวศน์ เคยเขียนหนังสือเล่มหนึ่งชื่อ "หุ้นห่านทองคำ" ... ป้าคิดว่า เป็นการเปรียบเทียบที่เห็นภาพ และงดงามจริงๆ ... คุณคงเคยอ่านนิทานเรื่อง "ห่านทองคำ" กันใช่ไหม? ... ถ้าไม่เคยไม่เป็นไร  ป้าพร้อมจะเล่าคร่าวๆให้ฟังค่ะ  แหะๆ  ... ถ้าหากคุณมีห่าน 1 ตัว และห่านตัวนั้น ออกไข่เป็น "ทองคำ" ซึ่งคุณสามารถนำ "ไข่" นั้นไปขายที่ตลาด เพื่อนำเงินมาประทังชีวิต ซื้อของต่างๆได้ ... ทางที่ฉลาด และเป็นการเลี้ยงชีพในระยะยาว  คุณจะเลือกทำอะไรคะ ระหว่าง ดูแลห่านนั้นให้ดี แล้วรอให้มัน "ออกไข่" เพื่อนำไปขายที่ตลาดเรื่อยๆจนตลอดชีวิตของมัน  หรือคุณเลือกจะ "ขายห่าน" หรือ "ผ่าท้องห่านเพื่อเอาไข่ทองคำทั้งหมดในคราวเดียว"? ซึ่งมีไม่มีก็ไม่รู้นะคะ

ฉันใดก็ฉันนั้น ... ถ้าหากคุณปลูกต้นแอปเปิ้ล  แน่นอน คุณคงหวังกิน "ผลแอปเปิ้ล" มากกว่าจะรอมันออกลูก แล้วถอนต้นมันขายเพื่อก่อรายได้แค่ "ครั้งเดียว" ใช่ไหม

การลงทุนในหุ้นก็เหมือนกันค่ะ ... ป้าคิดว่า คุณควรจะมี Mindset ที่ถูกต้องเสียก่อน ว่า นี่คือการลงทุน และคุณต้องการอะไรจากการลงทุน

ส่วนต่างราคา เป็นแค่ "ผลพลอยได้" ... และไม่ใช่เรื่องเลยที่จะต้องไปนั่งกังวลต่อมัน "ทุกวัน" "ทุกๆวัน" ( ยกเว้น คุณลงทุนในแนวทางของ Technical ซึ่งต้องคอยดูความเปลี่ยนแปลงของราคา ที่เรียกกันว่า Price Pattern ประกอบกับ Indicator ตัวอื่นๆ แล้วแต่ใครจะชอบแบบไหน)

คุณควรจะเข้าใจค่ะว่า ตามทฤษฎีแล้ว แม้ "ราคา" ควรจะสัมพันธ์กับ "พื้นฐาน" ... แต่ในความเป็นจริง "ราคาหุ้น" ไม่ใช่แค่เรื่องของพื้นฐาน  แต่มีปัจจัยด้าน Demand และ Supply เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย  ยกตัวอย่างง่ายๆ เช่น  ถ้าหากวันนี้  "คนส่วนใหญ่" สนใจในธุรกิจใดธุรกิจหนึ่ง  ธุรกิจนั้น ก็จะได้รับความนิยม ก่อให้เกิด Demand มาก ซึ่งตามหลักเศรษฐศาสตร์ง่ายๆ ก็คงจะพอทราบได้เนาะคะว่า  Demand increase, price increase :)  ในทางกลับกัน ถ้าหากวันนี้ "คนส่วนใหญ่" ได้ "ข่าวร้าย" ซึ่งยังไม่รู้เรื่องจริงหรือโคมลอย  หรือยังไม่ได้ประเมินผลกระทบที่เกิดขึ้นอย่างถ่องแท้  แต่ "รู้สึก และคิด" ว่ามันไม่ดีต่อธุรกิจนี้แน่ๆ  ก่อให้เกิด ความต้องการจะ "ขาย" ซึ่งก็คือทำให้มี Supply ของหุ้นตัวนี้มากขึ้น  หลักเศรษฐศาสตร์อันเดิม  Supply increase, price decrease ค่ะ  .... ซึ่งอันนี้เป็นแค่ตัวอย่างของปัจจัยที่เป็นที่มาของ Demand และ Supply ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว มีเหตุอีกมากนักที่จะทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงใน Demand และ Supply ได้

ดังนั้น ... ป้าจึงบอกว่า  ให้มองการลงทนในหุ้น คือ การลงทุนทำธุรกิจ ... ดูที่พื้นฐาน ... ดูที่ "ไข่ทองคำ" หรือ "ผลกำไรของบริษัท" ..  ถ้าหากคุณมองว่า ธุรกิจนั้นดี ทำกำไรงอกงาม จ่ายปันผลให้คุณได้ชื่นใจอยู่สม่ำเสมอ ... สิ่งที่คุณควรจะจับตาในระหว่างทาง คือ "ผลการดำเนินงานของบริษัท" , พื้นฐานของธุรกิจ และ ปัจจัยอื่นที่เกี่ยวข้องกับผลการดำเนินงานในอนาคต

ถ้าหากคุณมองแล้วว่า บริษัทมีกิจการที่ดี  พื้นฐานธุรกิจไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลงไป และมองแล้วว่า บริษัทมีการปรับตัวให้ทันต่อความต้องการของผู้บริโภคตลอดเวลา รวมถึงได้วิเคราะห์ปัจจัยสำคัญอื่นด้วยแล้วพบว่า บริษัทยังดำเนินกิจการดีอยู่ ... ห่านของคุณ  ยังคงให้ "ไข่ทองคำ" กับคุณได้อยู่ ... คุณควรจะขาย "ห่าน" ไหมคะ? ... คงไม่มั้งเนอะ  คงควรจะเลี้ยงดูมันให้ดี เก็บมันไว้  เพื่อให้มันผลิต "ไข่ทองคำ" ให้คุณต่อไป  :)

อย่างไรก็ตามค่ะ ... สิ่งทีคุณต้องพิจารณาอีกอย่างหลังจากหา "ธุรกิจพื้นฐานดี" ที่คุณได้ศึกษามาเป็นอย่างดีแล้ว นั่นก็คือ "ราคาซื้อ" หรือ "ราคาหุ้น" ที่คุณกำลังจะเข้าซื้อนั่นแหละ ... ว่ามัน "แพง" ไปไหม?

ถ้าตามหลักทางการเงินแล้ว .. มันก็มีหลายวิธีในการประเมินมูลค่า หรือ ราคาหุ้น ... ซึ่งก็จะมีทั้ง DCF, P/E, PBV, etc. มากมาย (สำหรับผู้สนใจ สามารถหาอ่านได้จาก post ก่อนๆของป้า หรือจะ google เอา ก็มีมากมายค่า ^^)

ส่วนเวลานำมาใช้จริง  ป้าคิดว่า ... คุณจะซื้ออะไร คุณก็ต้องดูว่า คุณ "ได้" อะไร ... จริงไหม?  หุ้นก็เหมือนกันแหละ ... คุณคาดหวัง "กำไร" ใช่ไหม? ... ดังนั้น ง่ายๆเลยค่ะ ... ให้คุณมองว่า บริษัทนี้ จะทำกำไรให้คุณปีละเท่าไหร่ ... แล้วก็นำกำไรนั้น มาคิดพิจารณาอีกทีว่า  คุณจะ "ให้ราคา" กับการลงทุนในบริษัทนี้เท่าไหร่ ... หงีขอให้แนวทางในการพิจารณาราคาง่ายๆแบบนี้แหละค่ะ  เพราะว่า มันไม่มี ถูก หรือ ผิด ... มันแล้วแต่ความเห็น และความ "พอใจ" ของคนซื้อ

เช่น  ถ้าบริษัท a สร้างกำไรปีละ 100 ล้านบาท คิดเป็นกำไรต่อหุ้น หุ้นละ 1 บาท ... ถ้าหากหงีมองว่า บริษัทนี้ จะไม่หยุดแค่นี้ มันจะโตอย่างก้าวกระโดดในปีหน้า เป็น กำไรต่อหุ้น หุ้นละ 2 บาท แล้วจะโตต่อเรื่อยๆ โดยภายใน 5 ปี จะมีกำไรต่อหุ้น รวมกัน ประมาณ 7 บาท ... หงีอาจจะ "พอใจ" ซื้อหุ้นนี้ ในราคา 7 บาท

ในขณะเดียวกัน ... หุ้นตัวเดียวกัน ... แต่ สมมติว่า เพื่อนหงีมองว่า กำไรต่อหุ้น หุ้นละ 1 บาทปีนี้  แต่บริษัทน่าจะโตเป็น 10 เท่า ในอีก 5 ปีข้างหน้า ... เค้าอาจจะ "พอใจ" ซื้อที่ 10 บาทก็ได้

ส่วนเพื่นอีกคน ... หุ้น a เนี่ยแหละ ... แต่มองว่า กันเหนียวเว้ย  สมมติมันไม่โต ทำกำไรปีละ 1 บาทต่อหุ้นเนี่ย ... สมติซื้อวันนี้  เก็บไว้เย็นๆ คิดว่า 5 ปีทนได้ ... คนนี้อาจจะ "พอใจ" ซื้อที่ราคา 5 บาท

และตัวอย่างสุดท้าย ... ถ้าเพื่อนคนสุดท้ายนี้ คิดเหมือนคนก่อนหน้า คือ กันเหนียว สมมติไม่โต เก็บไว้เย็นๆ 5 ปีทนได้ .. แต่คนนี้ คิดว่า ณ สิ้นปีที่ 5 จะขายหุ้นออกไป ก็จะได้เงินจากการขายหุ้นมาด้วย ... เพื่อนคนนี้ อาจจะ "พอใจ" ซื้อในราคาทีสูงกว่า 5 บาท .. แต่จะ "พอใจ"ที่เท่าไหร่นั้น ก็แล้วแต่ว่า เค้ามองว่า ณ สิ้นปีที่ 5 เค้าคิดว่า เค้าจะขายหุ้นได้ราคาเท่าไหร่

แน่นอน ... ไม่มีใครประเมินแค่ "เท่าทุน" หรอก ... คิดว่าได้จะได้เท่าไหร่  ก็จะ "ลด" จากสิ่งที่ประเมินนั้นลงมา ... แล้วแต่ความพึงพอใจของแต่ละท่าน ... และแน่นอน  ถ้าราคามันเกินกว่าที่คุณ "พอใจ" มันก็คง "แพง" สำหรับคุณจริงไหม?  ดังนั้น อะไรที่ "แพงไป" ก็ไม่ต้องซื้อค่ะ .. คุณเลือกได้ คุณจะรอ "ราคาถูกลง" หรือ "หาของอื่น" ก็ได้  แล้วแต่คุณจะพอใจ :)

วิธีที่ป้ายกมาเป็นตัวอย่างเนี่ย .. มันคล้ายๆกับวิธี P/E หรือ Price to Earning หรือ การให้ราคาเป็นกี่เท่าของกำไรต่อหุ้น :) ซึ่งป้าคิดว่า จะใช้คำว่า P/E ก็ฟังดูวุ่นวายค่ะ  เอาหลักง่ายๆ วิธีคิดของมันเนี่ยแหละ มาเล่าให้ฟัง น่าจะเข้าใจง่ายดี

ป้าขอสรุป "การลงทุนในหุ้น" อย่างง่ายๆตรงนี้นะคะว่า  มันคือการที่คุณเอาเงินไปร่วมทำธุรกิจกับเขา ... ดังนั้น  จะเอาเงินไปให้ใคร "ศึกษาให้ดีเสียก่อน" ... อย่าลงทุนในธุรกิจที่คุณ "ไม่เข้าใจ" และอย่า "ละเลย" ไม่ติดตามข่าวสารความเป็นไปเมื่อได้ลงทุนไปแล้ว

"หุ้นดี" แบบ "เขาเล่าว่า" เขาบอกมา ราคามันจะไปเท่านู้นเท่านี้บาท ... ป้าคิดว่า ฟังหูไว้หูดีกว่านะคะ ... กรุณาศึกษาบริษัท "หุ้นดี" นั้นให้ดี ... อะไรจะเป็นปัจจัยให้ราคามันวิ่งไปขนาดนั้น?  พื้นฐานธุรกิจเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมืออันจะทำให้บริษัทมีกำไรเป็นกอบเป็นกำ เติบโตแบบก้าวกระโดดพุ่งเป็นจรวด หรืออย่างไร?  ... ป้าขอเตือนไว้  หากขาด "พื้นฐาน" ที่ดีแล้ว ... หุ้นเขาเล่าว่า แบบนี้ ... ล้วนแล้วแต่หุ้นซิ่งไม่ลิ่งก็ฟลอร์ ซึ่งเมื่อมันลิ่ง คุณจะขายไม่ทัน แต่เมื่อมันฟลอร์  คุณจะมีมันติดอยู่ในพอร์ต ฟ้องเป็นค่าวิชาที่คุณลงเรียนศาสตร์ "เขาเล่าว่า" ไป

สำหรับ .. สาเหตุ ที่ตลาดลง 2 วันติดมานี้ ... ป้าไม่สามารถบอกได้ค่ะ ด้วยหนึ่งคือ รู้น้อย ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญ และ สองคือ  ป้าเชื่อวา ไม่มีใครรู้เหตุผลที่แท้จริง ... มันก็แค่การตัดสินใจของคนหมู่มาก ... ซึ่งอย่างที่ป้าบอก  ถ้าหากคุณได้ตัดสินใจดีแล้ว  ซื้อหุ้นที่ "พื้นฐานดี" ใน "ราคาเหมาะสม" แล้ว ... คุณไม่มีอะไรจะต้องกังวลค่ะ .... แม้ตลาด "ในวันนี้" จะเป็นอย่างไร  มันแค่สะท้อน "การตัดสินใจของคนหมู่มาก ในวันนี้" ไม่ใช่ "ตลอดไป"

อย่างไรก็ตาม  ข้อควรระวังที่ป้าต้องใส่ไว้หน่อยคือ  เมื่อเกิดวิกฤต ... คนส่วนมาก มักตัดสินใจ "ขาย" ซึ่งอาจจะทำให้ราคาหุ้นที่คุณลงทุนอยู่ดำดิ่งลึกลงไปมาก หลายๆครั้ง มากจนคุณอาจจะต้องตกใจ ... อันนี้ ป้าต้องบอกไว้ เพราะ เมื่อเกิดเหตุการณ์นั้นขึ้น  แต่ละคนจะมีวิธีการตัดสินใจไม่เหมือนกัน ... เช่น  ถ้าหากบางคน เงินเย็น รอได้  ไม่ได้สนใจราคาหุ้นจะเป็นเท่าไหร่ ตราบใดกิจการยังคงดำเนินไปตามปกติและเติบโต จะรอกินแต่ "ข่ทองคำ"  คนแบบนี่้ เค้าก็อาจจะตัดสินใจ "ม่ขาย"  แต่ในขณะเดียวกัน  หากคุณ ไม่มั่นใจ อยากจะกอดเงินไว้  คุณจะขายออกมาในเวลานั้น มันก็ไม่ได้ผิด  เพราะมันเป็น "เงินของคุณ"

อันที่จริง ในเรืองของการลงทุนในหุ้น  มันมีรายละเอียดค่อนข้างมากที่คุณควรจะศึกษาให้ดีก่อนการลงทุน .. แต่วันนี้ ป้าขออนุญาตนำมาเล่าแบบ คร่าวมากๆ  เพื่อเป็นการปูพื้นฐานสำหรับผู้ที่สนใจในการลงทุนในหุ้นค่ะ

โปรดฟังอีกครั้งหนึ่งนะคะ ... ถ้าหากคุณกำลังตัดสินใจอยากจะซื้อหุ้น นั่นหมายความว่า คุณกำลังจะนำ "เงินของคุณ" ไป "ร่วมทำธุรกิจ" กับคนอื่น  ดังนั้น  จะเอาเงินไปให้ใคร  ศึกษาให้ดี ให้รอบคอบค่ะ ^^

ด้วยความปรารถนาดีจากป้า

รักนะ จุ๊บ จุ๊บ

God Bless you