อาจฟังดูบ้าพลัง ... อ่อ ... ลืมไป ... เมื่อเช้ามี BodyJam ที่เต้นอย่างบ้าคลั่ง 1 ชม. ด้วะ ^^! เขินจัง
คือ ไม่ใช่อะไรหรอกค่ะ ... อยากจะลองดูน่ะ ... ก่อนหน้านี้ เป็นคนมีวินัยในการออกกำลังกายจริง เพราะชอบกิน ... แต่ก็ไม่ได้ซีเรียสอะไรกับรูปร่างมากนัก ... มาช่วงนี้ ไม่รู้อะไรดลใจสิน่า ... อยากจะลอง "ใส่ใจ" เอาจริงเอาจังกับร่างกายดูซักที ... อยากจะรู้ค่ะว่า ถ้าดูแลจริงๆ รูปร่างที่ดีกว่านี้ จะเป็นยังไง ... ไว้วันหลังจะมาเล่าเรื่องนี้แบบเต็มๆให้ฟังนะ ว่าทำอะไรบ้าง
ตอนนี้เรามาต่อเรื่อง Valuation กันหน่อยดีกว่า ... การประเมินมูลค่าแบบนี้ ก็เป็นแบบที่ 3 แล้วนะคะ ที่หงีเขียนถึง ... แปลเป็นไทย Relative Valuation ก็คงจะแปลว่า การประเมินมูลค่าเชิงความสัมพันธ์ ( เออะ ... งงไปใหญ่ป่ะ '-_-) เอาเป็นว่า หงีขออนุญาตทับศัพท์ละกันนะ
Relative Valuation นั้น ... จะนำ "ราคา" หุ้นของบริษัท มาประเมินดูความสัมพันธ์กับ Factor อื่นประกอบ เช่น Price to Earning จะดูมูลค่า โดยดูความสัมพันธ์ของ "ราคา" กับ "ผลกำไร" ( Earning ) , Price to Book Value ดูมูลค่า โดยดูความสัมพันธ์ของ "ราคา" กับ "มูลค่าทางบัญชี" (Book Value) เป็นต้น
ทำไมต้องเอาราคามาดูความสัมพันธ์กับ Factor อะไรใดๆอื่นๆด้วย? เยอะอ่ะ น่ามคาน (ขออนุญาตภาษาวิบัติสักนิด)
ตอบ ราคาหุ้นบริษัทไหน มันแพงกว่าบริษัทไหน จะดูให้ Make Sense เราคงจะประเมินกันดื้อๆแต่เพียง "ราคา" ไม่ได้ เช่น ราคาหุ้น ร.พ.A 10 บาท กับ ราคาหุ้น ร.พ. B 5 บาท ... ดูหยาบๆ 10 บาท มันแพงกว่า 5 บาท .. แต่เดี๋ยวก่อน! คุณขา ... มันเปรียบเทียบกันแบบนั้นไม่ได้ค่ะ มันไม่ใช่ apple to apple ... เอาง่ายๆ ถ้า ร.พ.A เป็น บำรุงราษฎร์ แล้ว ร.พ.B เป็น ร.พ. วิภาวดี ... มันไม่ apple to apple ถูกไหมคะ?
ดังนั้น ถ้าจะให้เข้าท่าเข้าทาง ( Make Sense ) เราจึงควรนำ "ราคา" มาดูความสัมพันธ์กับ Factor ที่ต้องการพิจารณา เช่น ผลกำไรของบริษัท อย่างที่พูดถึงไปในข้างต้น ... เพื่อ "ปรับ" ให้เรา สามารถ เปรียบเทียบ ราคาหุ้น ของบริษัทหนึ่ง กับ อีกบริษัทหนึ่งได้ โดย Bias น้อยลง
แน่นอน ... สมมมติ บำรุงราษฎร์ กำไรต่อหุ้นต่อปีอยู่ที่ 2 บาท เปรียบเทียบกับ
วิภาวดี กำไรต่อหุ้นต่อปีอยู่ที่ 0.5 บาท
ราคาหุ้นของทั้ง 2 ร.พ. ... ก็ไม่ควรเท่ากัน ถูกไหมคะ? เพราะเราเป็นผู้ถือหุ้น ... สิ่งที่เราจะได้จากบริษัท ก็ "ปันผล" จากผลกำไรนั่นล่ะ ... เพราะฉะนั้น กำไรมาก ปันได้มาก กำไรน้อย ปันได้น้อย ... ฉันใด ฉันนั้น .. กำไรมาก ราคาควรจะแพงกว่า กำไรน้อย ราคาควรจะถูกกว่า
วิธีคิด ก็ "หาร" ง่ายๆเลยค่ะ ...เอา "ราคา" ตั้ง แล้ว หาร ด้วย Factor ที่เราต้องการพิจารณา
ตามตัวอย่าง Factor ที่เราจะใช้พิจารณาร่วมคือ ผลกำไร
ดังนั้น ก็เอา "ราคาต่อหุ้น" หาร "ผลกำไรต่อหุ้น"
( Price/Earning = Price per share / Earning per share ==> PE Ratio )
ตัวอย่าง
- บำรุงราษฎร์ ราคา 10 บาทต่อหุ้น กำไรต่อปี 2 บาท ==> PE = 5x ( 10/2 )
- วิภาวดี ราคา 5 บาทต่อหุ้น กำไรต่อปี 0.5 บาท ==> PE = 10x ( 5/0.5 )
ทีนี้ ... จะดูว่า ราคา ร.พ. ไหน ถูก หรือ แพง กว่ากันจริงๆ ... ก็ดูว่า PE ตัวไหนสูงกว่า = แพง ... ต่ำกว่า = ถูก
อันที่จริง หลักการของวิธีนี้ ง่ายมากอ่ะนะคะ ... คือ ดูว่า ราคาปัจจุบัน มันคิดเป็นกี่เท่าของ Factor ที่เราพิจารณา แล้ว นำมาเปรียบเทียบกับบริษัทอื่นในอุตสาหกรรมเดียวกัน
โดยข้อควรระวังก็คือว่า มันหายากที่ บริษัท 2 บริษัท มันจะ apple to apple จริงๆ ... บำรุงราษฎร์ กับ วิภาฯ 2 บริษัทนี้ ความเสี่ยงเท่ากันไหม? โอกาสในการเติบโตเท่ากันไหม? ความสามารถในการสร้างกระแสเงินสดเท่ากันไหม? ความแตกต่างเหล่านี้แหละ คือ สิ่งที่เราต้องพิจารณาให้มาก
เช่น แม้วันนี้ PE ของ วิภาวดี จะแพงกว่า บำรุงราษฎร์ แต่ถ้าหาก วิภาวดี มีความเสี่ยงต่ำกว่า สามารถเติบโตได้มากกว่า และสร้างกระแสเงินสดได้เก่งกว่า ... แบบเนี้ยะ บำรุงราษฎร์ ถึงจะ PE ถูกกว่า แต่เรายังจะสนใจอยู่ไหม? น่าคิดนะ :)
นี่แหละ ท่านพ่อ Damodaran ท่านจึงมีความเห็นว่า แม้วิธี Relative Valuation จะป็นวิธีที่สะดวก เพราะเข้าใจง่าย อธิบายง่าย แต่ก็เป็นวิธีที่ต้องระวังในการนำไปใช้ให้มาก เพราะ
1. มันยากที่จะหากบริษัทที่มัน Apple to apple จริงๆ
2. Factor หลัก ที่เรานำมาใช้ประเมิน คือ "ราคาปัจจุบัน" ซึ่งเป็น "ราคาที่ตลาดให้" ตาม "อารมณ์ของตลาด ณ เวลานั้น" ซึ่งนี่แหละ คือความอันตราย ... เพราะ ถ้าหากตอนนั้น ทั้งตลาด ให้ความสนใจ และมีความคาดหวังกับอุตสาหกรรมใดๆที่สูงแล้ว ก็มักจะให้ "ราคา" ที่มากตาม โดยบางครั้งอาจละเลย "มูลค่าที่แท้จริง" (Intrinsic Value) ไป
อย่างไรก็ตาม ... ถ้าหากจะเอาง่าย หรือ ใช้ดูประกอบ หรือ อยากจะใช้ หรือ อะไรก็แล้วแต่ เอาเป็นว่าฉันจะใช้อ้ะ ... ก็สามารถนำไปใช้ได้ตามสะดวกค่ะ โดยตัวที่เค้านิยมใช้กัน ก็มี 4 ตัว คือ
1. Price to Earning ( PE )
2. Price to Book Value ( PBV)
3. Price to Revenue
4. Price to Specific Factor เช่น ใน Tech Industry บางครั้ง บางบริษัทที่ตั้งใหม่ๆ (StartUp) มักมี ผลขาดทุน (ผลกำไรติดลบ) มูลค่าทางบัญชีก็ต่ำ เพราะ Physical Asset ไม่มีอะไรมาก รายได้ก็ไม่แน่นอน ดังนั้น นักวิเคราะห์ หรือ ผู้ประเมินบางท่าน จึงนำ ราคา ไปดูความสัมพันธ์กับ จำนวนคนเข้าชม Website ( Price / Number of Visits ) เป็นต้น
การทำ Relative Valuation นั้น ... ไม่ยาก แต่ต้องใช้วิจารณญาณ ให้ดีค่ะ โดยเฉพาะ ถ้าหากคุณอยากลงทุนในระยะยาว เพราะอย่างที่บอก การใช้วิธีนี้ เราเน้นดูกันที่ "ราคา" ซึ่งมันเป็นผลจาก "อารมณ์ตลาด" ณ ตอนนั้นๆ ... แต่อย่างที่รู้ อารมณ์ตลาด มีขึ้นมีลง เอาแน่เอานอนไม่ได้ และที่มาของ Factor ที่ใช้ร่วมพิจารณา เช่น Earning นั้น เค้าก็มีที่มาของเค้า ซึ่งเรา ก็ต้องคำนึงถึงด้วยเช่นกัน เพราะ Earning วันนี้ ไม่ได้การันตี Earning ในอนาคต หรือบางที Earning ในวันนี้ อาจเป็นแค่จุดเริ่มต้น ในอนาคต อาจจะระเบิดระเบ้อกว่านี้อีกหลายเท่า มันก็เป็นไปได้ทั้งนั้น :)
ก่อนจบบทความในวันนี้ ... หงีก็อยากจะเขียนถึง Million Dollar Arms เสียหน่อยค่ะ ... เนื่องจาก ดูแล้วก็ชอบมาก ... สิ่งที่หงีเห็นในหนังเรื่องนี้ คือ ความสัมพันธ์ของมนุษย์ และความรัก :) คนเราเกิดเพียงครั้งเดียว เรามีชีวิตบนโลกนี้เพียงชีวิตนี้เท่านั้น สิ่งที่ทำให้มนุษย์มีความสุขที่แท้จริงในชีวิตได้ ไม่ใช่ เงินทอง สิ่งของ ชื่อเสียง หรือของนอกกายใดๆ แต่เป็น ความสัมพันธ์ที่ดีต่อคนรอบข้าง และต่อคนที่เรารัก ... คุณอาจใช้เวลาในการทำงาน หาเงิน สร้างชื่อเสียง สะสมทรัพย์สมบัตินอกกาย เพียงเพื่อเวลาผ่านไปแล้วพบว่า คุณใช้เวลากับคนที่คุณรักน้อยเหลือเกิน และในวันที่คุณมีทุกอย่าง เค้าก็ไม่ได้อยู่กับคุณแล้ว ... ประโยชน์อะไรทีจะใช้เวลามากมายไปทำงานที่คุณคิดว่าคุณรัก แต่คุณไม่ได้รักคนที่คุณต้องพบเจอในงานเหล่านั้น ... ลองคิดดูนะคะ
หงีหวังว่า อ่านบทความนี้แล้ว คุณจะไม่ได้รับแค่ความรู้เรื่องการประเมินมูลค่า ... แต่คุณจะได้พิจารณาชีวิตของคุณ และความสัมพันธ์กับผู้คนรอบข้างของคุณด้วย :)
คืนนี้ ... หลับฝันดีค่ะ