Sunday, February 28, 2016

Valuation : Relative Valuation (Basic)

หลังจากยกเวทสำหรับ หน้าแขน หลังแขน และหัวไหล่ + Plank to the limit ไปอย่างละ 4 เซ็ท ต่อด้วย Hula Hoop อีก 30 นาที ในขณะที่ดูหนังเรื่อง Million Dollar Arms ก็ได้เวลามาเขียนเล่าความเรื่อง Valuation ต่อ หุหุ

อาจฟังดูบ้าพลัง ... อ่อ ... ลืมไป ... เมื่อเช้ามี BodyJam ที่เต้นอย่างบ้าคลั่ง 1 ชม. ด้วะ ^^! เขินจัง

คือ ไม่ใช่อะไรหรอกค่ะ ... อยากจะลองดูน่ะ ... ก่อนหน้านี้ เป็นคนมีวินัยในการออกกำลังกายจริง เพราะชอบกิน ... แต่ก็ไม่ได้ซีเรียสอะไรกับรูปร่างมากนัก ...  มาช่วงนี้  ไม่รู้อะไรดลใจสิน่า ... อยากจะลอง "ใส่ใจ" เอาจริงเอาจังกับร่างกายดูซักที  ... อยากจะรู้ค่ะว่า ถ้าดูแลจริงๆ  รูปร่างที่ดีกว่านี้ จะเป็นยังไง ... ไว้วันหลังจะมาเล่าเรื่องนี้แบบเต็มๆให้ฟังนะ  ว่าทำอะไรบ้าง

ตอนนี้เรามาต่อเรื่อง Valuation กันหน่อยดีกว่า ... การประเมินมูลค่าแบบนี้ ก็เป็นแบบที่ 3 แล้วนะคะ ที่หงีเขียนถึง ... แปลเป็นไทย Relative Valuation ก็คงจะแปลว่า การประเมินมูลค่าเชิงความสัมพันธ์ ( เออะ ... งงไปใหญ่ป่ะ '-_-)  เอาเป็นว่า  หงีขออนุญาตทับศัพท์ละกันนะ

Relative Valuation นั้น ... จะนำ "ราคา" หุ้นของบริษัท มาประเมินดูความสัมพันธ์กับ Factor อื่นประกอบ เช่น  Price to Earning  จะดูมูลค่า  โดยดูความสัมพันธ์ของ "ราคา" กับ "ผลกำไร" ( Earning ) ,  Price to Book Value ดูมูลค่า โดยดูความสัมพันธ์ของ "ราคา" กับ "มูลค่าทางบัญชี" (Book Value) เป็นต้น

ทำไมต้องเอาราคามาดูความสัมพันธ์กับ Factor อะไรใดๆอื่นๆด้วย?  เยอะอ่ะ  น่ามคาน (ขออนุญาตภาษาวิบัติสักนิด)
ตอบ    ราคาหุ้นบริษัทไหน มันแพงกว่าบริษัทไหน จะดูให้ Make Sense เราคงจะประเมินกันดื้อๆแต่เพียง "ราคา" ไม่ได้  เช่น   ราคาหุ้น ร.พ.A  10 บาท  กับ  ราคาหุ้น ร.พ. B  5 บาท ... ดูหยาบๆ  10 บาท มันแพงกว่า 5 บาท .. แต่เดี๋ยวก่อน!  คุณขา ... มันเปรียบเทียบกันแบบนั้นไม่ได้ค่ะ  มันไม่ใช่ apple to apple ... เอาง่ายๆ  ถ้า ร.พ.A เป็น บำรุงราษฎร์  แล้ว ร.พ.B เป็น ร.พ. วิภาวดี ... มันไม่ apple to apple ถูกไหมคะ?

ดังนั้น  ถ้าจะให้เข้าท่าเข้าทาง  ( Make Sense ) เราจึงควรนำ "ราคา" มาดูความสัมพันธ์กับ Factor ที่ต้องการพิจารณา เช่น ผลกำไรของบริษัท อย่างที่พูดถึงไปในข้างต้น ...  เพื่อ "ปรับ" ให้เรา สามารถ เปรียบเทียบ ราคาหุ้น ของบริษัทหนึ่ง กับ อีกบริษัทหนึ่งได้  โดย Bias น้อยลง

แน่นอน ... สมมมติ  บำรุงราษฎร์  กำไรต่อหุ้นต่อปีอยู่ที่ 2    บาท  เปรียบเทียบกับ
                                       วิภาวดี  กำไรต่อหุ้นต่อปีอยู่ที่ 0.5 บาท
ราคาหุ้นของทั้ง 2 ร.พ. ... ก็ไม่ควรเท่ากัน ถูกไหมคะ?  เพราะเราเป็นผู้ถือหุ้น ... สิ่งที่เราจะได้จากบริษัท ก็ "ปันผล" จากผลกำไรนั่นล่ะ ... เพราะฉะนั้น กำไรมาก ปันได้มาก กำไรน้อย ปันได้น้อย ... ฉันใด ฉันนั้น  .. กำไรมาก ราคาควรจะแพงกว่า  กำไรน้อย ราคาควรจะถูกกว่า

วิธีคิด  ก็ "หาร" ง่ายๆเลยค่ะ ...เอา "ราคา" ตั้ง แล้ว หาร ด้วย Factor ที่เราต้องการพิจารณา
ตามตัวอย่าง  Factor ที่เราจะใช้พิจารณาร่วมคือ  ผลกำไร
ดังนั้น  ก็เอา "ราคาต่อหุ้น" หาร "ผลกำไรต่อหุ้น"
( Price/Earning  =  Price per share / Earning per share  ==>  PE Ratio )

ตัวอย่าง 
-   บำรุงราษฎร์   ราคา  10 บาทต่อหุ้น   กำไรต่อปี  2 บาท    ==> PE  =     5x  ( 10/2 )
-   วิภาวดี            ราคา    5 บาทต่อหุ้น   กำไรต่อปี  0.5 บาท ==> PE  =  10x  ( 5/0.5 )    

ทีนี้ ... จะดูว่า ราคา ร.พ. ไหน ถูก หรือ แพง กว่ากันจริงๆ ... ก็ดูว่า  PE ตัวไหนสูงกว่า = แพง ... ต่ำกว่า = ถูก
            
อันที่จริง  หลักการของวิธีนี้ ง่ายมากอ่ะนะคะ ... คือ ดูว่า ราคาปัจจุบัน มันคิดเป็นกี่เท่าของ Factor ที่เราพิจารณา  แล้ว นำมาเปรียบเทียบกับบริษัทอื่นในอุตสาหกรรมเดียวกัน

โดยข้อควรระวังก็คือว่า  มันหายากที่ บริษัท 2 บริษัท  มันจะ apple to apple จริงๆ ... บำรุงราษฎร์  กับ วิภาฯ  2 บริษัทนี้  ความเสี่ยงเท่ากันไหม?  โอกาสในการเติบโตเท่ากันไหม? ความสามารถในการสร้างกระแสเงินสดเท่ากันไหม?  ความแตกต่างเหล่านี้แหละ คือ สิ่งที่เราต้องพิจารณาให้มาก 

เช่น  แม้วันนี้  PE ของ วิภาวดี  จะแพงกว่า บำรุงราษฎร์  แต่ถ้าหาก วิภาวดี  มีความเสี่ยงต่ำกว่า  สามารถเติบโตได้มากกว่า และสร้างกระแสเงินสดได้เก่งกว่า ... แบบเนี้ยะ   บำรุงราษฎร์  ถึงจะ PE ถูกกว่า  แต่เรายังจะสนใจอยู่ไหม?  น่าคิดนะ  :)

นี่แหละ  ท่านพ่อ Damodaran ท่านจึงมีความเห็นว่า  แม้วิธี Relative Valuation จะป็นวิธีที่สะดวก  เพราะเข้าใจง่าย  อธิบายง่าย  แต่ก็เป็นวิธีที่ต้องระวังในการนำไปใช้ให้มาก  เพราะ
1.  มันยากที่จะหากบริษัทที่มัน Apple to apple จริงๆ
2.  Factor หลัก  ที่เรานำมาใช้ประเมิน คือ "ราคาปัจจุบัน"  ซึ่งเป็น "ราคาที่ตลาดให้"  ตาม "อารมณ์ของตลาด ณ เวลานั้น"  ซึ่งนี่แหละ คือความอันตราย ... เพราะ ถ้าหากตอนนั้น  ทั้งตลาด ให้ความสนใจ และมีความคาดหวังกับอุตสาหกรรมใดๆที่สูงแล้ว  ก็มักจะให้ "ราคา" ที่มากตาม โดยบางครั้งอาจละเลย "มูลค่าที่แท้จริง" (Intrinsic Value) ไป

อย่างไรก็ตาม ... ถ้าหากจะเอาง่าย หรือ ใช้ดูประกอบ หรือ อยากจะใช้ หรือ อะไรก็แล้วแต่  เอาเป็นว่าฉันจะใช้อ้ะ ... ก็สามารถนำไปใช้ได้ตามสะดวกค่ะ  โดยตัวที่เค้านิยมใช้กัน ก็มี 4 ตัว คือ
1.  Price to Earning  ( PE )
2.  Price to Book Value  ( PBV)
3.  Price to Revenue 
4.  Price to Specific Factor   เช่น   ใน Tech Industry  บางครั้ง บางบริษัทที่ตั้งใหม่ๆ (StartUp) มักมี ผลขาดทุน (ผลกำไรติดลบ)   มูลค่าทางบัญชีก็ต่ำ  เพราะ Physical Asset ไม่มีอะไรมาก   รายได้ก็ไม่แน่นอน  ดังนั้น  นักวิเคราะห์ หรือ ผู้ประเมินบางท่าน  จึงนำ  ราคา  ไปดูความสัมพันธ์กับ  จำนวนคนเข้าชม Website  (  Price / Number of Visits )  เป็นต้น

การทำ Relative Valuation นั้น ... ไม่ยาก แต่ต้องใช้วิจารณญาณ ให้ดีค่ะ  โดยเฉพาะ ถ้าหากคุณอยากลงทุนในระยะยาว  เพราะอย่างที่บอก  การใช้วิธีนี้  เราเน้นดูกันที่ "ราคา"  ซึ่งมันเป็นผลจาก "อารมณ์ตลาด" ณ ตอนนั้นๆ ... แต่อย่างที่รู้  อารมณ์ตลาด มีขึ้นมีลง เอาแน่เอานอนไม่ได้  และที่มาของ Factor ที่ใช้ร่วมพิจารณา เช่น Earning นั้น  เค้าก็มีที่มาของเค้า  ซึ่งเรา ก็ต้องคำนึงถึงด้วยเช่นกัน  เพราะ Earning วันนี้  ไม่ได้การันตี Earning ในอนาคต  หรือบางที Earning ในวันนี้ อาจเป็นแค่จุดเริ่มต้น  ในอนาคต อาจจะระเบิดระเบ้อกว่านี้อีกหลายเท่า  มันก็เป็นไปได้ทั้งนั้น  :)

ก่อนจบบทความในวันนี้ ... หงีก็อยากจะเขียนถึง Million Dollar Arms เสียหน่อยค่ะ ... เนื่องจาก ดูแล้วก็ชอบมาก ... สิ่งที่หงีเห็นในหนังเรื่องนี้ คือ  ความสัมพันธ์ของมนุษย์ และความรัก :)  คนเราเกิดเพียงครั้งเดียว  เรามีชีวิตบนโลกนี้เพียงชีวิตนี้เท่านั้น  สิ่งที่ทำให้มนุษย์มีความสุขที่แท้จริงในชีวิตได้  ไม่ใช่ เงินทอง  สิ่งของ  ชื่อเสียง หรือของนอกกายใดๆ  แต่เป็น ความสัมพันธ์ที่ดีต่อคนรอบข้าง  และต่อคนที่เรารัก ... คุณอาจใช้เวลาในการทำงาน  หาเงิน  สร้างชื่อเสียง  สะสมทรัพย์สมบัตินอกกาย  เพียงเพื่อเวลาผ่านไปแล้วพบว่า  คุณใช้เวลากับคนที่คุณรักน้อยเหลือเกิน และในวันที่คุณมีทุกอย่าง เค้าก็ไม่ได้อยู่กับคุณแล้ว ... ประโยชน์อะไรทีจะใช้เวลามากมายไปทำงานที่คุณคิดว่าคุณรัก  แต่คุณไม่ได้รักคนที่คุณต้องพบเจอในงานเหล่านั้น ... ลองคิดดูนะคะ 

หงีหวังว่า  อ่านบทความนี้แล้ว  คุณจะไม่ได้รับแค่ความรู้เรื่องการประเมินมูลค่า ... แต่คุณจะได้พิจารณาชีวิตของคุณ และความสัมพันธ์กับผู้คนรอบข้างของคุณด้วย  :)

คืนนี้ ... หลับฝันดีค่ะ



Tuesday, February 16, 2016

Valuation : Asset Based Valuation

สวัสดีค่ะทุกท่าน^^ เช่นเคยนะคะ ... นักการเงินตัวกลั่นทั้งหลาย เชิญข้ามได้เลยค่ะ^^

วันนี้ หงีจะมาต่อเรื่อง การประเมินมูลค่ากิจการ หรือ Valuation กันนะคะ ... คราวนี้ หงีจะเล่าให้ฟังเรื่องการประเมินมูลค่า แบบอิงการประเมินมูลค่าสินทรัพย์ ( Asset Based Valuation ) วิธีนี้ ว่าง่ายๆ ก็คือ ดูว่า สินทรัพย์ ของบริษัทนั้น มีมูลค่าประมาณเท่าไหร่ค่ะ

ฟังดูเหมือนง่ายนะคะ เพราะมันก็ Common Sense น่ะ  จะซื้อจะขายกันเท่าไหร่ ก็ดูที่ "ราคาตลาด" สิ!!! ... แต่หงีคิดว่า วิธีนี้ เป็นวิธีที่ค่อนข้าง Subjective นะคะ ... เพราะ มูลค่าของสินทรัพย์จะเป็นเท่าใดนั้น มันขึ้นอยู่กับว่า ผู้ซื้อคือใคร? จริงไหม?  ยกตัวอย่างเช่น  ถ้าหากบริษัท Software บริษัทหนึ่ง ต้องการขาย  แน่นอน Asset ของเค้า หลักๆก็ ตึก คอมพิวเตอร์ เซิฟเวอร์ แล้วก็ตัว Software เอง ... ทีนี้  ... ถ้าหากคนซื้อ ต้องการเพียง "ที่ดิน" และ "อาคาร" ซึ่งเป็นที่ตั้งของบริษัท  แต่ไม่ได้จะใช้ประโยชน์อะไรต่อยอดจาก Computer, Server และ Software แล้ว  แน่นอน  สินทรัพย์เหล่านี้ ก็เปรียบได้กับ "ขี้" ... ที่ไม่รู้จะซื้อมาทำอะไร  ดังนั้น  เวลาเค้าให้ราคา  ก็คงจะให้ราคาเพียง ค่าที่ดิน และ อาคาร เท่านั้น

ตรงกันข้าม ... หากผู้ซื้อ เป็นบริษัท Software เจ้าใหญ่กว่า และรู้วิธีที่จะนำ Computer, Server และ Software ของบริษัทนี้ ไปต่อยอด ทำมาหาได้แล้วล่ะก็  แน่นอน สิ่งเหล่านี้ จะไม่ใช่ "ขี้" แต่หากจะเป็น "ขุมทรัพย์" ขึ้นมาทันที ... แบบนี้  ถ้าว่ากันตามหลักยุติธรรม  มูลค่าซื้อที่คนซื้อควรจะให้ ก็ต้องรวมให้ทั้ง ที่ดิน อาคาร Computer server และ Software จริงไหม?

นี่ก็เป็นเพียงตัวอย่างง่ายๆ ที่หงีหยิบยกขึ้นมาพูดเพื่อให้เห็นภาพว่า มัน Subjective อย่างไร

ทีนี้ .... วิธี Asset Based Valuation เนี่ย  ท่านพ่อ Damodaran ท่านว่าไว้  ( ถ้าปะป๊ามาอ่าน ก็อาจจะงงๆได้ว่า เอ๊ะนี่เรามีเชื้อแขกเมื่อไหร่? และเปลี่ยนชื่อตอนไหนฟระ? หุหุ) สามารถประเมินได้ 2 แบบ โดยแบบที่ 1 คือ Liquidation Value หรือ มูลค่าเลิกกิจการ กับแบบที่ 2 คือ Replacement Cost หรือ มูลค่าทดแทน ( ว่าง่ายๆ คือ  ถ้าจะเปลี่ยนไอ้ของแบบเนี้ยะ ต้องใช้เงินเท่าไหร่?) ทีนี้  ... ท่านพ่อท่านว่าไว้  วิธีนี้สามารถพิจารณาใช้ได้  แต่!!!  ไม่สามารถใช้ทดแทนวิธีประเมินมูลค่าหลัก 3 แบบ คือ DCF, Relative Valuation และ Option Pricing Model ได้ 

 เพราะ ถ้าหากพิจารณาให้ดีจะพบว่า การประเมินมูลค่าสินทรัพย์ที่จะสามารถนำมาใช้ต่อยอดกิจการเพื่อทำมาหาได้ในอนาคต ... อย่างในกรณีที่ยกตัวอย่างตอนต้น ก็คือพวก Software ... การที่สินทรัพย์นั้น จะสามารถหาเงินให้คนซื้อได้เท่าไหร่ และคิดเป็นมูลค่าปัจจุบันเท่าไหร่ ... อันนี้ก็ต้องอาศัยการ Projection เพื่อหารายได้ หักค่าใช้จ่าย เป็นผลกำไรในอนาคต แล้วคิดย้อนกลับเป็นมูลค่าปัจจุบัน ( แฮ่กๆ ) ...  คุ้นๆไหมพี่น้อง หึๆๆๆ  ไอ้แบบนี้ ก็คือต้องทำ DCF นั่นล่ะ

โดยสรุปก็คือ  วิธี Asset Based Valuation นั้น  ถ้าหากจะนำมาคิดเร็วๆ ดูมูลค่าอย่างหยาบนั้นก็สามารถใช้ประเมินเบื้องต้นได้  ว่าง่ายๆ คือ  ดูเอาจากทรัพย์สินปัจจุบัน  ถ้าซื้อวันนี้แล้วขายทอดตลาดที่ราคาตลาดเลยอ่ะ  มันจะได้เงินเท่าไหร่ ... ถ้าจำนวนเงินที่จะใช้ซื้อ มันต่ำกว่า มูลค่าอย่างที่ว่า  มันก็น่าสนใจจริงไหม?   ... แต่ถ้าหากอยากจะประเมินอย่างละเอียดแล้ว  มันก็ต้องใช้ควบคู่กับวิธี DCF อยู่ดี ... นั่นจึงเป็นที่มาที่ทำให้ท่านพ่อท่านว่า  สามารถใช้ได้จ้ะ  แต่ใช้ทดแทนวิธีอื่นไมได้นะจ๊ะ

อย่างไรก็ตาม  หากมองในแง่การใช้งานจริงแล้ว  เคสที่หลายๆท่านมักจะใช้กัน ก็คือดู Liquidation Value เทียบ Market Cap (มูลค่าตลาด) หรือ วิธีใช้จริงก็คือดู PฺBV ( Price / Book Value per share) นั่นแหละ  เพราะ Liquidation Value ที่ได้ทั้งหมดจากการขายทรัพยสินนั้น  มันอาจจะมีส่วนที่ต้องนำไปคืนเจ้าหนี้เสียก่อน แล้วจึงเหลือตกมาถึงผู้ถือหุ้น เรียกง่ายๆ ก็ สินทรัพย์ - หนี้สิน หรือ Book Value นั่นแหละ ถ้าเมื่อไหร่  Price ต่ำกว่า Book Value per Share หรือ PBV ต่ำกว่า 1 แล้ว  นั่นก็เหมือน On Sale ล่ะค้าาาา  ดูมีเสียงเรียกให้นักลงทุนเข้าไปจับจองกัน

อย่างไรก็ตาม ประเด็นที่ต้องพิจารณาให้ดีนั่นก็คือ  การที่ ราคาปัจจุบัน มันต่ำกว่า  Book Value นั้น เพราะอะไร?   มันเป็นเพราะ คนส่วนใหญ่ เขาคิดว่า บริษัทนี้อนาคตร่อแร่ อย่างไรเสีย มันต้องทำขาดทุนแล้วต้องมากินส่วนของผู้ถืหุ้น หรือ Book Value ในอนาคตแน่นอน  จึงทำให้ ราคาปัจจุบันนั้น ต่ำกว่า ฺBook Value ปัจจุบัน เพราะสะท้อนการคาดการณ์ในส่วนนี้แล้ว ..... หรืออันที่จริง  บริษัทนี้เป็นบริษัทที่ดี ที่มีคุณค่า เปรียบประหนึ่งนางเอกผู้น่าสงสาร ที่ถูกรังแกจากราคาปัจจุบันที่ให้กันต่ำเกินไป i_i  โถ ... แม่คุณ  ถ้าเจอแบบนี้  เราก็ควรจะเข้าไปอุ้มชูอุปการะนะคะ ... แต่ก็ต้องดูให้ดีด้วยนะ ว่านี่นางเอกจริง  ไม่ใช่ แม่มดปลอมตัวมา  แฮ่!!!

เอาล่ะค่ะ  วันนี้ก็เรื่องเบาๆ ง่ายๆ Common Sense โนะ ... หวังว่า Post นี้ จะไม่งงเกินไปนะคะ และถ้าหากจะลองนำไปปรับใช้ดู หงีก็จะดีใจมาก^^

แล้วมาคุยกันใหม่คร้ั้งหน้านะคะ^^



Friday, February 5, 2016

Valuation : DCF

สวัสดี๊ สวัสดีค่ะทุกท่าน^^ ... บอกก่อนเลยว่า นักการเงิน ตัวพ่อ ตัวแม่ ทั้งหลาย เชิญข้ามตอนนี้ไปเลยนะคะ เพราะสิ่งที่ดิฉันเขียน มันคงจะเบบี๋มั่กมั่ก เมื่อเทียบกับความรู้ความเข้าใจของพวกคุณ

อย่างนึง ท่ตอนนี้รู้สึกดีใจมากคือ มีพี่ มีเพื่อน หล่ยๆคน ไลน์มาบ้าง FB messenger มาหาบ้าง เพื่อขอบคุณ สำหรับบทความบางตอน ที่เป็นเรื่องเกี่ยวกับจิตวิทยาการใช้ชีวิต ... บางคน ก็มาสอบถามเกี่ยวกับเรื่องหุ้น เรื่องการลงทุน และบางคนก็ถามเรื่องอาหาร การออกกำลังกาย^^ .... อยากบอกว่า ดีใจมากนะคะ ที่โพสต์ของหงี เป็นประโยชน์ ... โดยเฉพาะ ถ้าหากมันช่วยให้คุณรู้สึกดี รู้สึกมีกำลังใจ รู้สึกอยากจะพัฒนา ยินดีมากๆ ^^ ถ้ามีอะไรที่หงีพอจะตอบได้ หงีก็จะตอบนะ ... แล้วหงีก็คงจะ เขียน ไปเรื่อยๆ จนกว่าจะไม่มีคนอ่านนั่นแหละ!!! Gagagaga

เอาล่ะ .... Post นี้ ก็สืบเนื่องมาจาก การเข้าคลาส Business Model ของ ดร.วิศิษฐ์ องค์พิพัฒน์กุล นะคะ ... อาจารย์สอนเรื่อง Fund flow , business model ที่น่าสนใจ และ แตะเรื่อง Valuation อย่างคร่าวๆ

ใน Slide ของอาจารย์ ได้อธิบาย วิธี Valuation 4 แบบ ซึ่งหงีจะ ทยอย ย่อย แบะเขียนให้อ่านกันนะคะ สำหรับผู้ที่สนใจ^^

การ Valuation แบบแรก ที่หงีจะขอเขียนถึงก่อน เพราะเป็นวิธีที่หงีคุ้นเคยที่สุด คือ DCF หรือ Discounted Cash Flow Model แปลภาษาไทยคือ วิธีประเมินมูลค่าแบบคิดลดกระแสเงินสด .... หึหึ ... งงดิ ... เออ งงดิ ... พูดเลย สมัยเปน นักวิเคราะห์แรกๆ งมโข่งมาาาาาก ทำ Model เป็น แต่ไม่เข้าใจ ... โชคดีที่มี รุ่นน้องที่แสนดีคนหนึ่ง ซึ่งหงีว่า เค้าเป็น genious นะคะ ฉลาดมาก และเก่งเรื่องการเงิน เศรษฐศาสตร์มากๆ คือ นี่ยังไม่นับรวม ความสามารถทางด้าน IT ของเค้าด้วยนะ '-_- คือแบบ ยอดมนุษย์จริงๆ .... เท้าความไป รือ ตอนนั้น Suffer กับงานมาก ปรับทุกข์กับน้องเค้าบ่อยๆ แล้วก็เลยคุยกันว่า ดิฉันจำได้ว่า บิดาแห่ง DCF เนี่ย คือท่าน Asawath Damodaran ... รุ่นน้องคนนั้น เค้าจึงอุปการะคุณ ส่ง e-book ของท่านมาให้ ^^ หงีจึงนำมาศึกษาจนมีความเข้าใจ .... พอที่จะทำงานต่อสายวิเคราะห์ได้อย่างสบายใจในการทำ DCF และมีโอกาสได้มาเล่าให้คุณฟังนี่ค่ะ แฮ่!!!

หลักการของ DCF คือ การคิดลด กระแสเงินสด ซึ่ง กิจการ จะสามารถทำมาหาได้ในอนาคต ด้วย Weighted Average Cost of Capital หรือ อัตราดอกเบี้ยต้นทุนของเงินทุน .... หึหึหึ ... งงดิ ... ใช่ ... งง
ต้นทุนของเงินทุน ก็คือ ถัวเฉลี่ย ต้นทุนดอกเบี้ยของ เงินกู้ และ อัตราผลตอบแทนที่คาดหวังของผู้ถือหุ้นที่เอาเงินมาใส่ในบริษัทนั้น ( แน่นอน ก็ เงินปันผล + ความคาดหวังจากค่าตอบแทนอื่น เช่น ราราหุ้นที่เพิ่มขึ้น หรือ แม้กระทั่ง Opportunity cost หากเอาเงินไปลงทุนในกิจการที่มีลักษณะใกล้เคียงกัน ) ถัวๆกันออกมา ... เช่น ถ้าหาก เงินทุนทั้งหมดของบริษัท คือ 100 บาท : เป็น หนี้สิน 30 บาท และ เงินของผู้ถือหุ้น 70 บาท ดังนั้น เราจะ ถ่วง อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ ที่ 30% และ ถ่วง ผลตอบแทนที่คาดหวังของผถห ที่ 70% ... ในกรณีนี้ ถ้า ดอกเบี้ยเงินกู้ คือ 10% และ ผลตอบแทนที่คาดหวังคือ 15% ... Weighted average cost of capital จะเท่ากับ 3% + 10.5% = 13.5% ... ( งงและ เบื่อสินะ ... อะไรของมึงนักหนา ... หุหุหุ ... เอาน่า เผื่อบางคนเค้าอยากรู้ )

ทีนี้ ความยากอ่ะ มันไม่ใช่ WACC หรอก ... มันคือ การ forecast กระแสเงินสดในอนาคตต่างหากล่ะ ... ดังนั้น ลองคิดง่ายๆเลย บริษัทแบบไหนกันล่ะ ที่เรา พอจะสามารถ คาดการณ์กระแสเงินสด ให้ได้ คลาดเคลื่อนน้อยที่สุด? ... แน่นอน ก็พวก บริษัทที่มันนิ่งแล้วไง ... แต่ก็นะ เวลาใช้จริง หลายๆคน ก็สามารถนำมาปรับใช้กับ Growth Company ได้ด้วย โดยจะใส่ assumption ในการเติบโตหลายๆแบบ เพื่อดู มูลค่าที่เปลี่ยนแปลงไป และเพื่อพิจารณาว่า เฮ้ยถ้าอย่างแย่ แม่งโตแค่ 3% ไป 5 ปี แล้วหลังจากนั้นเหลือ 1% forever เนี่ย มูลค่าจะเป็นอย่างไร หนือ แม้กระทั่งว่า ถ้ามันโตปรละ 25% ไป 3 ปี แล้วหลังจากนั้น ตายเลย มูลค่าจะเป็นอย่างไร ... อะไรแบบเนี้ยยยยยย

ดังนั้น ในการจะ forecast กระแสเงินสดได้ เราก็จำเป็นจะต้องรู้'ที่มา' ของมัน จริงไหม? ... ที่มาของเงินจากการทำธุรกิจ จะมาจากไหนดีล่ะ ? จะให้สวย ก็ต้องมาจาก 'ผลกำไร' ถูกไหม? ... นั่นล่ะ ... กว่าจะมาเป็น 'กำไร' คุณว่า ... คุณต้องรู้อะไรบ้างคะ? หึหึหึ ... เอากว้างๆเลย ก็ Revenue and Cost ใช่ไหม? แต่ก็อย่างท่่คุณคิดได้นะ่นแหละ ... กว่าจะมาเป็น Revenue ... มันมี Factor อะไรบ้าง และ growth driver ของแต่ละ factor คืออะไร? แล้วไหนจะ Cost ... มีกี่ตัว อะไรบ้าง จะเพิ่ม จะลด อย่างไร? .... มันละเอียดมาก คุณผู้ชมขาาาท

การทำ DCF ... จะว่า ดูน่าเชื่อถือก็ได้ แต่อีกมุม มันก็เสี่ยง Bull Shit พอกัน ... ถ้าคนทำ ไม่ได้เข้าใจ Business จริงๆ ... ใส่ Factor ชุ่ยๆ Forecast มั่วๆ ไม่มีหลักการ ... The whole model is Bull Shit!!!! ดังนั้น หงีว่า หากใครอยากจะลองทำ Model แบบ DCF ... หงีแนะนำ หาหนังสือมาอ่านจริงจัง ศึกษาอย่างจริงจัง ให้เข้าใจ Rationale ของ Model ให้ลึกซี้งเสียก่อน แล้วค่อยนำมา apply กับ ธุรกิจที่คุณสนใจ ....

วันนี้ หงีมาเล่าคร่าวๆให้ฟัง เพื่อปูพื้นฐานให้คุณเข้าใจเสียก่อน ว่า มันคืออะไร และมีที่มาที่ไปอย่างไร เพื่อให้ใช้เป็นฐานในการทำความเข้าใจ


หากคุณไม่มั่นใจ หงีแนะนำให้ ... นักวิเคราะห์ ของ Broker ท่่คุณใช้บริการอยู่ยังไงล่ะ :) คุยกับเค้าสิ แล้ว พิจารณาเอา ว่า logic ที่เค้าใช้ Factor ที่เค้าใส่ และ growth driver ที่เค้ามอง มัน Make sense ไหม .... ถ้าใช้ได้คุณก็แค่ พิจารณาปรับมูลค่า ตามมุมมองของคถณ :) เช่น ถ้าเค้าทำใาได้ 20 บาท แต่คุณมองว่า เค้าให้ growth ต่ำไป มันโตได้มากกว่าที่เค้ามอง คุณก็อาจให้มูลค่ามากกว่านั้นได้ ... อะไรแบบนี้ :)